Archive for 2013
สถานที่ท่องเที่ยวในประเทศสวิตเซอร์แลนด์

เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ (Switzerland) เป็นอีกสถานที่หนึ่งที่สวยงามและเงียบสงบไม่แพ้ที่ไหน ๆ ในโลก จึงเป็นประเทศที่ใครหลาย ๆ คนฝันอยากจะไปท่องเที่ยว เพื่อสัมผัสกับความงามของที่นี่ด้วยตาของตัวเองสักครั้ง อย่างไรก็ตาม หากคุณเป็นอีกคนที่สนใจอยากจะไปเที่ยวสวิตเซอร์แลนด์ แต่ยังไม่รู้ว่าจะไปทำอะไร ที่ไหนบ้างดี วันนี้เรามีข้อแนะนำดี ๆ เกี่ยวกับสถานที่ที่คุณควรไปเยือนมาฝาก ลองมาอ่านกันดูเลยค่ะ

1. ชมงานศิลป์ที่เมือง Basel
เมืองนี้เป็นอีกเมืองที่รวบรวมงานศิลปะสวย ๆ เอาไว้ด้วยกัน โดยเฉพาะที่ Fondation Beyeler ที่รวบรวมภาพเขียนของศิลปินชื่อดังตั้งแต่ใอดีตหลายคน ยกตัวอย่างเช่น Bacons, Monets และ Picassos นอกจากนี้ ในเมือง Basel ยังมี Kunstmuseum ซึ่งเป็นพิพิธภัณฑ์ที่ที่รวบรวมงานศิลป์สวย ๆ ทั้งแนวย้อนยุคและแบบร่วมสมัยอีกเอาไว้อีกด้วย เรียกได้ว่า ผู้ที่รักศิลปะนั้นไม่ควรพลาดเด็ดขาด

2. สัมผัสวิวแม่น้ำสวย ๆ ได้ที่นี่
สมัยนี้การจะมองหาทิวทัศน์ของแม่น้ำลำธารสวย ๆ ใสสะอาดเหมือนสมัยก่อนนั้นเป็นเรื่องที่ยากเต็มที เพราะคนไม่รู้จักรักษาสิ่งแวดล้อม ขยันทิ้งขยะลงแม่น้ำกันเป็นประจำ แถมยังได้รับมลพิษจากของเสียที่ถูกปล่อยออกมาจากโรงงานอุตสาหกรรมต่าง ๆ อีกด้วย แต่ไม่ใช่กับประเทศนี้ เพราะมีการรักษาความสะอาดกันเป็นอย่างดี ทำให้น้ำในแม่น้ำที่นี่ยังคงใสสะอาด และยังมีแม่น้ำจำนวนมากกว่า 10 สาย ให้เราได้เลือกพักผ่อนหย่อนใจริมแม่น้ำได้ตามใจชอบ เช่น แม่น้ำอาเร, แม่น้ำโปและแม่น้ำไรน์ซึ่งมีความยาวมากที่สุดในประเทศ ด้วยความยาวถึง 375 กิโลเมตร

3. แวะเล่นสกีที่ Zermatt
เมืองเล็ก ๆ ที่เปี่ยมไปด้วยเสน่ห์อย่างเมือง Zermatt นั้น มีจุดเด่นอยู่ที่ภูเขา Matterhornที่นักท่องเที่ยวนิยมขึ้นมาชมวิวที่ยอดเขา และเล่นสกีกันที่นี่ ทำให้โรงแรมในแถบนั้นมีแขกพักเต็มอยู่เสมอ จนบางครั้งก็ถึงกับต้องจองกันล่วงหน้าเป็นเวลาหลายเดือนเลยทีเดียว เพราะฉะนั้น ถ้าใครวางแผนจะไปเที่ยวที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ล่ะก็ อย่าลืมเพิ่มทริปเล่นสกีที่ Zermatt เข้าไปในโปรแกรมของคุณด้วย

4. สิ่งก่อสร้างก็โดดเด่นไม่แพ้ที่ไหน ๆ
สถาปัตยกรรมของที่นี่ ถือว่าโดดเด่นไม่แพ้สิ่งแวดล้อมจากธรรมชาติรอบข้าง เพราะสวิตเซอร์แลนด์ขึ้นชื่อในเรื่องสิ่งก่อสร้างสวยงามค่อนข้างมาก ไม่ว่าจะเป็นแบบย้อนยุคคลาสสิกที่พบได้ในแถบชานเมือง หรือแบบโมเดิร์นสมัยใหม่เก๋ ๆ ที่มีอยู่ทั่วไปในประเทศแห่งนี้ เพราะฉะนั้น หากมีเวลาก็อย่าลืมลองเดินท่องเที่ยว เพื่อสำรวจและซึมซับสถาปัตยกรรมที่งดงาม เป็นเอกลักษณ์สวิตเซอร์แลนด์กันนะ

สำหรับใครที่ต้องการจะผ่อนคลายความเมื่อยล้า หรือบำรุงผิวสวย ๆ ของตัวเอง สปาของที่นี่จะไม่ทำให้คุณผิดหวังอย่างแน่นอน เพราะประเทศสวิตเซอร์แลนด์ขึ้นชื่อเรื่องการทำสปากันมาตั้งแต่สมัยโบราณแล้ว ที่นี่จึงมีสปาชั้นดีให้คุณเลือกใช้บริการได้มากมาย แถมยังมีหลากหลายแบบให้เลือก ไม่ว่าจะเป็น การนวดตัว หรือสปาช็อกโกแลต ที่ให้คุณได้เข้าไปอาบน้ำบำรุงผิวในบ่อช็อกโกแลตซะด้วย...ว้าว!

6. Helvetia เมืองที่เปี่ยมไปด้วยเสน่ห์ของธรรมชาติ
หากคุณเป็นอีกคนที่กำลังมองหาที่พักผ่อนท่ามกลางบรรยากาศเงียบสงบ และสามารถเพลิดเพลินกับความงามของธรรมชาติได้อย่างเต็มที่ Helvetia จะเป็นอีกเมืองที่คุณไม่ควรพลาด เพราะที่นั่นเป็นเมื่องที่เงียบสงบ ไม่พลุกพล่าน และยังมีธรรมชาติสวยงามให้ชมอีกด้วย โดยเฉพาะที่สวน Botanical Garden ในเกาะใจกลางแม่น้ำ Maggiore ซึ่งรวบรวมดอกไม้นานาพันธุ์ไว้ด้วยกัน เพื่อให้นักท่องเที่ยวที่รักธรรมชาติได้เข้าชม
7. พักผ่อนริมน้ำตก Trummelbach falls
Trummelbach falls เป็นชื่อของน้ำตกธรรมชาติ 10 สาย อันสวยงามที่ไหลลงท่ามกลางหุบเขา ด้วยความสูงถึง 140 เมตร รับรองได้ว่าใครที่มีโอกาสได้ไปดู จะต้องประทับใจในความงดงามของมันอย่างแน่นอน ทั้งนี้ หากคุณต้องการจะสัมผัสความงามของน้ำตกนี้อย่างใกล้ชิด ก็สามารถจ่ายเงินเพื่อเข้าชมน้ำตกภายในตัวภูเขาได้ ด้วยราคาเพียงแค่ 10 เหรียญเท่านั้น

8. ใกล้ชิดสัตว์ที่ Swiss National Park
ที่นี่เป็น National Park แห่งเดียวของประเทศสวิตเซอรแลนด์ ซึ่งให้สัตว์ได้อยู่กันตามธรรมชาติ โดยมีเจ้าหน้าที่คอยดูแลอยู่ห่าง ๆ และเปิดให้นักท่องเที่ยวสามารถเข้าชมได้ โดยสวนแห่งนี้มีขนาดใหญ่ถึง 172.3 ตารางกิโลเมตร ส่วนสัตว์ที่สามารถพบได้ที่นี่ ได้แก่ นกอินทรีทอง นกแร้งเครา แพะภูเขา ตัวมาเมิต เลียงผา และกวางเอลค์
9. อิ่มอร่อยที่ Piz Gloria
Piz Gloria เป็นร้านอาหารที่ตั้งอยู่บนยอดเขา Schilthorn จึงเป็นแหล่งที่ผู้คนนิยมมาชมวิวของภูเขากันจากที่นี่ นอกจากนี้ ร้านนี้ยังเคยเป็นสถานที่ใช้ถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง James Bond ภาค On Her Majesty's Secret Service มาก่อน จึงทำให้มีของที่ระลึกจากภาพยนตร์เรื่องนี้ขายเป็นจำนวนมาก แถมยังมีบาร์ชื่อ James Bond อยู่ภายในร้านอีกด้วย ส่วนอาหารจานเด็ดของที่นี่ ได้แก่ มันฝรั่งทอดแบบสวิส ชีสฟองดู และ สปาเก็ตตี้เจมส์ บอนด์

10. แดนสวรรค์ของคนรักช็อกโกแลต
ช็อกโกแลตของประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ขึ้นชื่อเรื่องความอร่อยจนมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลก ดังนั้น เมื่อมาถึงที่นี่แล้ว ไม่ควรพลาดลองช็อกโกแลตโฮมเมดตามร้านคาเฟ่ต่าง ๆ เด็ดขาด นอกจากนี้ คุณยังควรแวะชมพิพิธพัณฑ์ Museo Storico Di Blenio ซึ่งเป็นพิพิธภัณฑ์ที่รวบรวมศิลปะต่าง ๆ รวมถึงเรื่องราวเกี่ยวกับช็อกโกแลตตั้งแต่สัยโบราณเอาไว้ ไม่ว่าจะเป็นเครื่องผลิต รูปภาพ และโฆษณาช็อคโกแลตในสมัยก่อนอีกด้วย
อย่างไรก็ตาม นอกจาก 10 ข้อที่กล่าวมานี้ ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ยังมีสถานที่น่าเที่ยวและกิจกรรมที่น่าทำอีกมาก ให้คุณได้ไปลองสัมผัสด้วยตัวเอง เพราะฉะนั้น ถ้าใครมีโอกาสได้ไปเยือน ควรวางแผนโปรแกรมที่จะทำก่อนที่จะไปให้ดี เพื่อให้คุณสามารถเที่ยวได้ครบทุกที่อย่างคุ้มค่า
สถานที่ท่องเที่ยวในอเมริกาเหนือ
เมืองดีทรอยท์ (Detroit) รัฐมิชิแกน
มลรัฐมิชิแกน (Michigan) เป็นมลรัฐในสหรัฐอเมริกา
ตั้งอยู่บริเวณส่วนเหนือของประเทศ โดยชื่อของรัฐมาจาก ชื่อทะเลสาบมิชิแกน
ซึ่งตั้งโดยชาวอินเดียนแดงเผ่าชิปเปวา จากคำว่า มิชิ-กามิ ซึ่งหมายถึง
น้ำอันกว้างใหญ่ รัฐมิชิแกนห้อมล้อมด้วยทะเลสาบขนาดใหญ่ 4
ทะเลสาบในด้านเหนือ ด้านตะวันตกและด้านตะวันออก
ทำให้รัฐมิชิแกนมีชายฝั่งทะเลน้ำจืดที่ยาวที่สุดอันดับสองในประเทศรองจากรัฐ
อะแลสกา ทำให้มิชิแกนมีกิจกรรมนันทนาการทางน้ำมากที่สุดอันดับต้นของประเทศ
รัฐมิชิแกนเป็นรัฐเดียวในสหรัฐอเมริกาที่มีพื้นที่แยกออกจากกันเป็นสองฝั่ง
โดยจุดเชื่อมระหว่างสองที่อยู่บริเวณ
แมกคีนอก์ซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญแห่งหนึ่งของมิชิแกน

รัฐมิชิแกนมีเมืองที่สำคัญคือ
ดีทรอยต์ ฟลินต์ วอลเลน แกรนด์แรพิดส์ แมกคินอก์ แลนซิง และ แอนอาร์เบอร์
มหาวิทยาลัยที่สำคัญได้แก่ มหาวิทยาลัยมิชิแกน และมหาวิทยาลัยมิชิแกนสเตต
ทีมกีฬาที่สำคัญที่มีชื่อเสียงคือ ดีทรอยต์ ไลออนส์
รถยนต์คันแรกมีลักษณะเป็น 3 ล้อ มีเครื่องยนต์แบบกระบอกสูบอยู่เหนือล้อ ประดิษฐ์คิดค้นขึ้นโดย Carl Benz ในปี 1885

แต่ฟอร์ได้ทดลองผลิตรถยนต์ที่ใช้งานได้ง่ายกว่า ดีกว่า ใน 8
ปีต่อมา รถของฟอร์ดเป็นรถ 2 ล้อ เหมือนกับรถม้าเปิดประทุนแบบเก่าๆ ปี 1903
เขาได้ตั้งบริษัทฟอร์ด มอเตอร์ (Ford Motor Company) อีก 6
ปีต่อมาก็มีออร์เดอร์ถึง 10,000คัน สำหรับรถใหม่ของเขาที่เรียกว่า โมเดล ที
ปี 1919 ฟอร์ดขายรถยนต์ของเขาได้ถึง 1 ล้านคัน
ต่อมาฟอร์ดได้ริเริ่มใช้เครื่องสตาร์ทด้วยมือ
การผลิตแบบสายงานการผลิต และในปี1914 ริเริ่มการทำงานแบบ 5 ดอลล่าร์ต่อวัน
6 วันต่ออาทิตย์
การริเริ่มเช่นนี้ของเขาได้เสริมสร้างเศรษฐกิจของเมืองดีทรอยท์
คือมีผู้คนทำงานมากขึ้น
สามารถผลิตรถยนต์ที่มีคุณภาพและมีลักษณะดีขึ้นเรื่อยๆ
ด้านมืดของการพํฒนาเทคโนโลยีการผลิตเช่นนี้คือ ฟอร์ดไม่ใส่ใจกับคนงาน
บั่นทอนความมีชีวิตชีวาของคนงาน ซึ่งต้อทำให้ทันตามรถแต่ละคันในสายการผลิต
นอกจานี้ระบบรักษาความปลอดภัยก็แทบจะไม่มีและฟอรืดกีดกันการตั้งองค์กร
ลูกจ้างมาเป็นเวลานานหลายปี
เยลโลว์ สโตน อุทยานแห่งชาติแรกของโลก
อุทยานแห่งชาติเยลโลว์สโตน (Yellowstone National Park) เป็นอุทยานแห่งแรกของโลกและของสหรัฐอเมริกา ตั้งอยู่ในเขตติดต่อสามรัฐได้แก่ ไวโอมิง มอนแทนา และ ไอดาโฮ แต่พื้นที่ส่วนใหญ่อยู่ในรัฐไวโอมิง เป็นอุทยานแห่งชาติที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐ มีพื้นที่กว่า มีเนื้อที่มากกว่า 2 ล้านเอเคอร์ คือประมาณ 43,750 ตารางไมล์ หรือ 8,992 ตารางกิโลเมตร ภายในอุทยานประกอบไปด้วย ที่ราบสูงและภูเขาสูงมีหน้าผาชัน และมีทะเลสาบเยลโลวสโตน์ เป็นอุทยานแห่งชาติที่มีบ่อน้ำร้อน น้ำพุร้อนมากกว่า 10,000 แห่ง และ 250 แห่งเป็นบ่อน้ำพุร้อน [1] และน้ำพุร้อนที่สำคัญคือ น้ำพุร้อนโอลด์ เฟธฟุล มีน้ำพุงออกมาทุกๆ 33 และ 93 นาทีโดยไม่เปลี่ยนแปลงเลยในรอบ 100 ปี สัตว์ป่าที่น่าสนใจในอุทยานแห่งชาติเยลโลว์สโตน ได้แก่ หมีกริซซี่ หมีดำ ควายป่าไบซัน กวางมูส กวางเอลค์ แพะภูเขา บิ๊กฮอร์น แมวปา

จุดเด่น ๆ ที่นักท่องเที่ยวเมื่อมาถึงแล้วจะต้องแวะดูมีมากมาย ไม่ว่าจะเป็นโอลด์ เฟธฟูล (Old Faithful) น้ำพุร้อนที่ตระการตาที่สุด บ่อน้ำร้อน น้ำตกขนาดใหญ่ รวมทั้งสัตว์ป่านานาชนิด ทั้งควายป่าไบซัน กวางเอลก์ หรือหมีกริซลี

จากนั้นเดินดูบ่อน้ำร้อนและน้ำพุร้อนอีกนับไม่ถ้วนตามทางเดินไม้ ซึ่งใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง เริ่มจากด้านหลังของโอลด์ เฟธฟูล และจะไปสุดทางที่บ่อมอร์นิงกลอรี (Morinin Glory Pool) ซึ่งเป็นบ่อน้ำร้อนขนาดเล็กรูปกรวยสีฟ้าใส
จากนั้นขับรถขึ้นเหนือไปยังแอ่งมิดเวย์เกเซอร์ (Midway Geyser Basin) เพื่อไปชมบ่อน้ำร้อนแกรนด์ พริสเมติก (Gannd Prismatic Spring) ที่ใหญ่ที่สุดและสวยที่สุดของอุทยานฯ ซึ่งมีความกว้างถึง 110 เมตร
เมื่อถึงทางแยกเมดิสัน (Madison Junction) ให้เลี้ยวขวาและขับขึ้นเหนือไปยังน้ำพุร้อนแมมมอธ บริเวณดังกล่าวมีธารน้ำร้อนไหลไปตามชั้น ๆ ของลานหินปูน ซึ่งเกิดจากการสะสมของแคลเซียมคาร์บอเนตที่ไหลมากับน้ำร้อน ทำให้เกิดรูปร่างแปลกตา นับว่าเป็นสัญลักษณ์อย่างหนึ่งของอุทยานฯ (West Tumb Geyser) ระยะทาง 59 กิโลเมตร ไปตามเส้นทางวันเวย์ที่ชื่อแคนยอนริม (Canyon Rim Drive) สู่จุดชมวิวอาร์ติสท์ พอยต์ (Artist Point) อันยิ่งใหญ่และเป็นที่มาของชื่ออุทยานฯ ณ จุดนี้ สายน้ำเยลโลว์สโตนตกจากหน้าผาสูงถึง 93 เมตร

จุดหมายปลายทางมาสุดที่เวสต์ทัมบ์ เกเซอร์ ซึ่งอยู่ติดกับทะเลสาบเยลโลว์สโตน ทะเลสาบที่ใหญ่ที่สุดในทวีปอเมริกาเหนือ อยู่สูงกว่า 2,100 เมตร จากระดับน้ำทะเลปานกลาง บริเวณโดยรอบจะเห็นควันพวยพุ่งอยู่ตลอดเวลา นับว่าเป็นทัศนียภาพที่แปลกตาไปจากทะเลสาบอื่น ๆ

หากมีเวลาอีกสัก 1 วัน ลองขับไปตามเส้นทางทิศเหนือซึ่งไม่ค่อยเป็นที่นิยมมากนัก จะได้พบกับบรรยากาศซึ่งไม่เหมือน 2 วันที่ผ่านมา เส้นทางดังกล่าวชื่อนอร์ธเธิร์นเรนจ์ (Northern Range) โดยเริ่มต้นจากน้ำพุร้อนแมมมอธไปทางทิศตะวันออกผ่านทุ่งหญ้าและป่าเขา ทิวทัศน์ที่นี่ไม่มีอะไรโดดเด่นหรือสวยงามมากนัก หากถ้าขับมาถึงทาวเวอร์-รูสเวลต์ (Tower-Roosevelt) หากเลยไปอีกประมาณ 2 ไมล์จะพบฟอสซิลต้นไม้ที่กลายเป็นหิน และเมื่อถึงจุดนี้หากต้องการขับต่อไปก็จะถึงประตูทางเข้าทางทิศตะวันออก เฉียงเหนือ หรือขับรถลงใต้เพื่อเที่ยวอุทยานแห่งชาติแกรนด์เตตัน (Grand Teton National Park) ซึ่งอยู่ทางตอนใต้ของเยลโลว์ สโตน เพียงไม่กี่สิบกิโลเมตร
CN Tower

โทรอนโต (Toronto) เป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดในประเทศแคนาดา และเป็นเมืองที่ใหญ่อันดับที่ 4 ในทวีปอเมริกาเหนือ และโทรอนโตเป็นเมืองหลวงของรัฐออนแทรีโอ ของแคนาดา โทรอนโตมีประชากรประมาณ 5,304,100 คน (ข้อมูลคาดการณ์ ในปี พ.ศ. 2548) โทรอนโตได้ชื่อว่าเป็นเมืองที่มีหลายเชื้อชาติมากที่สุดเมืองหนึ่ง และโทรอนโตเป็นศูนย์กลางทาด้านเศรษฐกิจ ศิลปะ วัฒนธรรมของประเทศแคนาดา โดยในปี พ.ศ. 2548 รัฐบาลแคนาดาได้จัดให้โทรอนโตเป็นเมืองหลวงวัฒนธรรมของประเทศ
สิ่งก่อสร้างที่สูงที่สุดในโลกและเป็นสัญลักษณ์ของเมืองขณะนี้ คือ
หอคอยซีเอ็นทาวเวอร์ ที่เมืองโตรอนโต ประเทศแคนาดา มีความสูง 1,821 ฟุต
สร้างเมื่อปี ค.ศ. 1975 รูปทรงสัณฐาน เหมือนเข็ม
เย็บกระสอบเสียบแห้วตรงปลาย ตรงที่เหมือนแห้วนี้เป็นชั้นชมวิวชั้นล่าง
มีภัตตาคาร ร้านอาหาร (อยู่คฃตรงความสูง 1,136 ฟุต) หากขึ้นไปถึงความสูง
1,465 ฟุต ตรงนี้จะมีอีก กระเปาะเล็กๆ เรียกว่า สกายพอด (Sky Pod)
ตรงนี้ชมวิวได้ไกลโพ้นถึง 100 กิโลเมตร ในวันที่อากาศดีๆ
สามารถมองเห็นน้ำตกไนแอการาได้ใกล้ๆ ส่วนลิฟต์ที่พาขึ้นไปชมนั้นวิ่ง
ด้วยความเร็วจากพื้นถึงชั้นชมวิว(กรเปาะะเห้ว)แค่ 58 วินาทีเท่านั้น
แต่จุดที่น่าเสียว คือตรงความสูงแค่ 1,122 ฟุต
ตรงชั้นชั้นล่างของชั้นชมวิว (กรเปาะะเห้ว)
ตรงนี้ทำพื้นเป็นกระจกใสหนาให้มองเห็นพื้นดินที่อยู่ไกลออกไป
สามารถขึ้นไปยืน นั่ง เดินได้
ดินแดนทะเลสาบด้านเหนือ
ทะเลสาบทั้ง 5
หรือเกรทเลคส์ (Great Lakes)
อันมหัศจรรย์ได้ชักนำนักสำรวจและผู้อพยพมาสู่ดินแดนที่เรียกว่า
แถบมิดเวสท์ ในปัจจุบันมาหลายต่อหลายศตวรรษ
ทุกรัฐที่อยู่ริมทะเลสาบเกรทเลคส์ล้วนแล้วต่ได้รับอิทธิพลอย่างลึกซึ้งจาก
ผืนน้ำอันกว้างใหญ่

ถือกันว่าเป็นแม่น้ำที่เฮียวาธาสร้างเรือแคนูจากไม้เบิร์ชที่ชื่อ Shining Big-Sea-Water
แหลมโอลิมปิค (Olympic Peninsula)
ในมลรัฐวอชิงตันเป็นส่วนที่อยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือสุดของประเทศเป็นดิน แดนที่สวยงามน่าทึ่งมาก มีภูมิประเทศป่าทึบที่แตกต่างไปจากภาคอื่นๆของประเทศ ตรงใจกลางแหลมมีเทือกเขาโอลิมปิคมียอดขาวโพลนแม้ในช่วงฤดูร้อนตั้งตระหง่าน งามสง่า แม้จะมีตำนานเล่าลือกันมานานนักหนาแต่ก็ยังไม่เคยมีการสำรวจเทือกเขาแห่ง นี้ จนกระทั่งในช่วงทศวรรษที่ 1890 เมื่อคณะสำรวจคณะหนึ่งออกจากซีแอตเติ้ลเพื่อค้นหามนุษย์กินคน แม้แต่ชาวเผ่าอินเดียนแดงที่อาศัยอยู่บนแหลมก็ยังพยายามหลีกเลี่ยงที่จะเข้า ไปลึกข้างในด้วยหวาดกลัวว่า ธันเดอร์เบิร์ด ผู้ทรงพลังซึ่งอาศัยอยู่บนยอดเขาโอลิมปัสจะกริ้วโกรธ
เทือกเขาโอลิมปิคได้รับการรักษาให้คงสภาพป่า
ตามธรรมชาติ ในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของอุทยานแห่งชาติโอลิมปิค
มีอาณาเขตถึง 9 แสนเอเคอร์ ของพื้นที่แหลมทั้งหมด
ถึงแม้ว่าพื้นที่ส่วนใหญ่จะอยู่ลึกเข้ามาในแผ่นดิน
แต่ก็มีเส้นทางชายฝั่งมหาสมุทรแปซิฟิกยาวประมาณ 50
ไมล์รวมอยู่ด้วยมีถนนเพียงไม่กี่สายที่ตัดเข้าไปถึงตัวอุทยานแต่ก็เพียง
รอบนอกเท่านั้น พื้นที่อุทยานนั้นถูกล้อมรอบด้วย
วนอุทยานแห่งชาติโอลิมปิค ซึ่งทำให้การเข้าถึงยากยิ่งขึ้น
ด้วยเหตุที่พื้นที่แหลมส่วนใหญ่เป็นเขตอำนาจของรัฐบาลกลางทำให้เกิดปัญหา
ความขัดแย้งกับอุตสาหกรรมไม้เป็นประจำ
สกีบนเทือกเขาร็อกกี้
เทือกเขาร็อกกี (Rocky Mountains หรือ Rockies)
ในบรรดาเทือกภูเขาต่างๆสหรัฐอเมริกาที่มีอยู่มากมาย
ก็หายากที่จะมีแห่งใดใหญ่โตเกินกว่าเทือกเขาร็อกกี้ ซึ่งทำหน้าที่เสมือน
สันปันทวีปให้แก่อเมริกาด้วย เทือกเขาร็อกกี้มีความยาวกว่า 3,000
ไมล์แผ่ลงมาจากแอลเบอร์ท่าและบริทิชโคลัมเบียในแคนาดา ปกคลุมรัฐมอนทาน่า
ไวโอมิ่ง ยูทอฮ์โคโรลาโด ลงไปจนถึงนิว
เม็กซิโกแล้วต่อไปถึงประเทศเม็กซิโก
แม่น้ำใหญ่หลายสายมีต้นน้ำเกิดจากบริเวณนี้
เนื่องจากหิมะละลายในฤดูใบไม้ผลิ เช่น แม่น้ำอาร์แคนซอ มิสซูรี
โดยเฉพาะแม่น้ำสเน้คมีโตรกเขาลึกที่สุดในทวีปอเมริกาเหนืออยู่ที่เฮลล์
แคนยอนในรัฐโอดาไฮ ลึกถึง 5334 ฟุต
สัตว์ป่าในบริเวณนี้มีอยู่นานาชนิด เช่น
กวางมูสซึ่งมีขนาดใหญ่มาก สูงราวหกฟุต
ที่ไหล่มีเขาเป็นช่อใหญ่ๆผิดกับกวางโดยทั่วไป ควายป่าของอเมริกา
หมาป่าภูเขา แพะภูเขา หมีกริซลี่ ซึ่งเป็นหมีขนาดใหญ่มาก
ในบริเวณเทือกเขาอันไพศาลนี้มีภูมิภาพน่าดูอยู่มิใช่น้อยมีความเป็นไปที่แตก
ต่างกันอยู่มากอากาศในบริเวณนี้แห้ง สดชื่น ท้องฟ้าแจ่มใส
ทำให้แลเห็นไปได้ไกลลิบ
อากาศในยามกลางคืนจะเยือกเย็นมากกว่าในตอนกลางวันและหนาวจัดทีเดียวในฤดู
หนาว
อากาศในแถบนี้อาจกล่าวได้ว่าเยือกเย็นอยู่เสมอแม้แต่ในฤดูร้อนที่มี
อยู่ชั่วระยะสั้นๆ แล้วในฤดูร้อนนี้เองก็อาจมีฝนตกได้อย่างกระทันหัน
จากนั้นพออาทิตย์ตกแล้วอากาศก็จะเยือกเย็นขึ้นมาทันที

ไม่มีนักสกีผู้ที่คิดว่าตัวเองแน่คนใด
ที่ไม่เคยคิดหรือไม่เคยางแผนจะเล่นสกีที่เทือกเขาร็อกกี้
ยอดเขาใหญ่ๆหลายแห่งที่เหยียดยาวตลอดั้งแต่รัฐโคโรลาโด้ มอนทาน่า
ยูท่าห์ นิวเม็กซิโก ไวโอมิ่ง ปกคลุมไปด้วยหิมะหนาถึง 200-500 นิ้ว
ส่วนที่ยากที่สุดอยู่ตรงที่การตัดสินใจว่าจะไปเล่นที่ใด เนื่องจากมีสกีรีสอร์ทมากมายกว่าหนึ่งร้อยแห่งอยู่บนเทือกเขาร็อกกี้
Buffalo Bill’s town

เมืองของบัฟฟาโล บิล
อยู่ในเมืองโคดี้มีอนุสรณ์ที่ระลึกของบัฟฟาโล บิล ผู้ซึ่งเป็นทั้งคนขี่ม้าของโพนี่เอ็กเพรส หัวหน้าทหารเก่า นักล่าควายป่า ชาวไร่
นักบุกเบิก นักแสดง และผู้จัดรายการแสดง
เขาได้รับการขนานนามอย่างถูกต้องว่าเป็น
“กล้องคาไลโดสโคปแห่งประสบการณ์ตะวันตกของคนผิวขาว” (kaleidoscope of
white man’s western experience) จากการแสดง “Wild West Show”
ไปจนถึงภาพยนตร์ของเขาและที่มีเนื้อหาตัวแสดงเกี่ยวกับเขา
ที่เลื่องชื่อที่สุด คือ ศูนย์ประวัติศาสตร์บัฟฟาโล บิล (Buffalo Bill Historical Center) ซึ่งเป็นพิพิธภัณฑ์ที่น่าชมอย่างยิ่ง
พิพิธภัณฑ์บัฟฟาโล บิล (Buffalo Bill Museum)
จะมีเรื่องราวเกี่ยวกับตัวเขา
ไม่ว่าจะเป็นของที่ระลึกและสิ่งสะสมอันมากมาย
เขาเป็นที่รู้จักอย่างดีในเรื่องของรสนิยมอันหรูหราและแพงๆดังนั้นสิ่งของ
สะสมที่อยู่ในพิพิธภัณฑ์จึงมีแต่สิ่งมีค่าตามรสนิมยมของเขา
Grand Coulee Dam & Hoover Dam
เขื่อนฮูเวอร์ หรือ ฮูเวอร์แดม (Hoover Dam) และรู้จักในชื่อ โบลเดอร์แดม (Boulder Dam – เขื่อนหินยักษ์) เป็นเขื่อนคอนกรีตขนาดใหญ่กั้นแม่น้ำโคโลราโด ตั้งอยู่บนเขตแดนของมลรัฐเนวาดา และมลรัฐแอริโซนา ในสหรัฐอเมริกา สร้างเสร็จในปี พ.ศ. 2478 (ค.ศ. 1935) [1] ซึ่งในขณะที่สร้างเสร็จเป็นเขื่อนและโครงสร้างคอนกรีตขนาดที่ใหญ่ที่สุดใน โลก และกลายมาเป็นอันดับสองหลังจากเขื่อนแกรนด์คูลีสร้างเสร็จในปี พ.ศ. 2488 ปัจจุบันเขื่อนฮูเวอร์เป็นเขื่อนผลิตไฟฟ้าใหญ่เป็นอันดับที่ 34 ของโลก
เขื่อนฮูเวอร์ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของลาสเวกัส ประมาณ 48
กิโลเมตร (30 ไมล์) เขื่อนฮูเวอร์ตั้งชื่อตามประธานาธิบดี เฮอร์เบิร์ต
ฮูเวอร์ (Herbert Hoover)
ซึ่งเป็นผู้ผลักดันสำคัญของโครงการเขื่อนฮูเวอร์ตั้งแต่แรก
การก่อสร้างเริ่มต้นในปี พ.ศ. 2474และเสร็จในวันที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ.
2478[2] ซึ่งเสร็จก่อนกำหนดถึง 2 ปี
การสร้างเขื่อนฮูเวอร์ทำให้เกิดทะเลสาบฝีมือมนุษย์ คือ ทะเลสาบมี้ด (Lake
Mead)ตัวเขื่อนสูง 218 เมตร ฐานข้างล่างกว้าง 198 เมตร
สันเขื่อนข้างบนกว้าง 13.5 เมตร ยาว 385 เมตร
ใช้คอนกรีตเฉพาะสร้างตัวเขื่อน 3,250,000 ลูกบาศก์หลาและส่วนอื่นๆอีก
4,400,000 ลูกบาศก์หลา มีเครื่องทำไฟฟ้าจากน้ำตกรวม 17 เครื่อง
ให้กำลังไฟฟ้า 1,835,000 กิโลวัตต์
การสร้างเขื่อนมีจุดประสงค์เพื่อป้องกันอุทกภัย กักน้ำไว้ใช้ในการกสิกรรม
สงวนพันธ์ปลา สร้างกระแสไฟฟ้าด้วยพลังน้ำ
เขื่อนฮูเวอร์ตั้งอยู่ระหว่างเมืองลาสเวกัส และ ช่องแคบแกรนด์แคนยอน
Indian Medicine Wheel
วงล้อศักดิ์สิทธิ์
ป็นกลุ่มหินรูปร่างวงกลมที่ดูประณีตและน่า
ทึ่งที่สุดที่พบได้ทางด้านตะวันออกของเทือกเขาร็อกกี้
ก้อนหินที่ประกอบกันเป็นรูปซี่ล้อทั้งหมด 28 ซี่
นั้นสร้างวงกลมขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง ที่เกือบสมบบูรณืแบบได้ 1 วง
เชื่อกันว่า วงล้อนี้ มีอายุประมาณ 600 ปี
แต่ผู้สร้างและจุดมุ่งหมายในการสร้างยังคงไม่เป็นที่ปรากฏจนกระทั่งปัจจุบัน
แต่ตำนานของอินเดียนเผ่าโครว์ เมือ่พวกเขาอพยพมาถึงที่นี่ ในช่วงทศวรรษที่
1770 ก็เห็นงลล้ออยู่ที่ที่นี่เร็ว

หอดูดาวปาโลมาร์ Palomar Observatory

หอดูดาวปาโลมาร์ Palomar Observatory
สถานที่ตั้ง บนยอดเขาปาโลมาร์ ในรัฐแคลิฟอร์เนีย ประเทศ สหรัฐอเมริกาปัจจุบัน สามารถเข้าเยี่ยมชมได้
หอดูดาวปาโลมาร์มีลักษณะเป็นโดมขาวสูง 1,707 เมตร (5,600 ฟุต) ภายในมีกล้องโทรทัศน์(กล้องส่องดู ดาวขนาดใหญ่) ขนาดยักษ์ ซึ่งติดตั้งมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1947 (พ.ศ. 2490) กล้องโทรทัศน์ขนาดมหึมาที่สุด ได้รับชื่อตามนักดาราศาสตร์ลือนาม คือ นายยอร์ช ฮาเล ซึ่งเป็นผู้อำนวยการหอดูดาวอีกแห่งหนึ่ง ที่ยอดเขาวิลสัน ท่านผู้นี้เป็นผู้ค้นพบจุด บนดวงอาทิตย์ที่มีผลต่อสนามแม่เหล็กโลก กล้องโทรทัศน์ฮาเล ขนาดยักษ์นี้สามารถรับแสงมองได้เป็น 360,000 เท่า ของสายตาปรกติ ช่วยถ่ายภาพวัตถุในห้วงอวกาศ ในระยะไกล นับได้เป็นบ้านปีแสง ระยะไกลในห้วงอวกาศแม้จะมากเพียงใด กล้องนี้สามารถช่วยให้เห็นได้ นักดาราศาสตร์มากมายหลายท่าน ได้ค้นพบความจริงใหม่ ๆ เกี่ยวกับจักรวาล อัลเบิร์ต เอ. มิเชลซัน ค้นคว้าหาวิธีวัดระยะเส้นผ่านศูนย์กลางของดาวต่าง ๆ และ เอ็ดวิน ฮับเบิล พัฒนาทฤษฎีที่น่าสนใจเกี่ยวกับว่า จักรวาลอยู่ในระยะของการขยายตัว ซึ่งทำให้วัตถุต่าง ๆ ภายในปรากฏตัวห่างกันอกไปทุกทีด้วยอัตราความเร็วสูงมาก นอกจากนั้นยังมีกล้องโทรทัศน์ ชมิดท์ ช่วยเสริมอีกกล้องหนึ่ง กล้องนี้ช่วยสร้างแผนที่บอกที่ตั้งของเทหวัตถุต่าง ๆ ในท้องฟ้า ในขนาดพื้นที่มากกว่าประสิทธภาพของกล้องฮาเล 80 เท่า ให้ความสะดวกต่าง ๆ ในการค้นคว้าหาความรู้ในห้วงอวกาศได้อย่างกว้างขวาง รวดเร็วออกไปอีกมาก โดยใช้เวลาสำรวจทำแผนที่ท้องฟ้าในซีกโลกด้านเหนือทั้งหมด และภาคใต้ราวครึ่งหนึ่ง ภายในเวลาเพียง 7 เดือนเท่านั้น ผลงานค้นคว้าที่เกิดจากหอดูดาวปาโลมาร์ ยังคงอยู่และนำมาใช้สำหรับที่จะต้องการศึกษาเรื่องราวในอวกาศให้ถ่องแท้ ตลอดจนผู้ที่ประสงค์จะท่องไปในอวกาศ จะต้องติดตามเรียนรู้
สถานที่ตั้ง บนยอดเขาปาโลมาร์ ในรัฐแคลิฟอร์เนีย ประเทศ สหรัฐอเมริกาปัจจุบัน สามารถเข้าเยี่ยมชมได้
หอดูดาวปาโลมาร์มีลักษณะเป็นโดมขาวสูง 1,707 เมตร (5,600 ฟุต) ภายในมีกล้องโทรทัศน์(กล้องส่องดู ดาวขนาดใหญ่) ขนาดยักษ์ ซึ่งติดตั้งมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1947 (พ.ศ. 2490) กล้องโทรทัศน์ขนาดมหึมาที่สุด ได้รับชื่อตามนักดาราศาสตร์ลือนาม คือ นายยอร์ช ฮาเล ซึ่งเป็นผู้อำนวยการหอดูดาวอีกแห่งหนึ่ง ที่ยอดเขาวิลสัน ท่านผู้นี้เป็นผู้ค้นพบจุด บนดวงอาทิตย์ที่มีผลต่อสนามแม่เหล็กโลก กล้องโทรทัศน์ฮาเล ขนาดยักษ์นี้สามารถรับแสงมองได้เป็น 360,000 เท่า ของสายตาปรกติ ช่วยถ่ายภาพวัตถุในห้วงอวกาศ ในระยะไกล นับได้เป็นบ้านปีแสง ระยะไกลในห้วงอวกาศแม้จะมากเพียงใด กล้องนี้สามารถช่วยให้เห็นได้ นักดาราศาสตร์มากมายหลายท่าน ได้ค้นพบความจริงใหม่ ๆ เกี่ยวกับจักรวาล อัลเบิร์ต เอ. มิเชลซัน ค้นคว้าหาวิธีวัดระยะเส้นผ่านศูนย์กลางของดาวต่าง ๆ และ เอ็ดวิน ฮับเบิล พัฒนาทฤษฎีที่น่าสนใจเกี่ยวกับว่า จักรวาลอยู่ในระยะของการขยายตัว ซึ่งทำให้วัตถุต่าง ๆ ภายในปรากฏตัวห่างกันอกไปทุกทีด้วยอัตราความเร็วสูงมาก นอกจากนั้นยังมีกล้องโทรทัศน์ ชมิดท์ ช่วยเสริมอีกกล้องหนึ่ง กล้องนี้ช่วยสร้างแผนที่บอกที่ตั้งของเทหวัตถุต่าง ๆ ในท้องฟ้า ในขนาดพื้นที่มากกว่าประสิทธภาพของกล้องฮาเล 80 เท่า ให้ความสะดวกต่าง ๆ ในการค้นคว้าหาความรู้ในห้วงอวกาศได้อย่างกว้างขวาง รวดเร็วออกไปอีกมาก โดยใช้เวลาสำรวจทำแผนที่ท้องฟ้าในซีกโลกด้านเหนือทั้งหมด และภาคใต้ราวครึ่งหนึ่ง ภายในเวลาเพียง 7 เดือนเท่านั้น ผลงานค้นคว้าที่เกิดจากหอดูดาวปาโลมาร์ ยังคงอยู่และนำมาใช้สำหรับที่จะต้องการศึกษาเรื่องราวในอวกาศให้ถ่องแท้ ตลอดจนผู้ที่ประสงค์จะท่องไปในอวกาศ จะต้องติดตามเรียนรู้
Statue of Liberty

อนุสาวรีย์เทพีเสรีภาพ หรือ เทพีเสรีภาพ
เป็นอนุสาวรีย์ที่ยิ่งใหญ่ และมีคุณค่าทางจิตใจ ในภาษาอังกฤษ เรียกว่า
Statue of Liberty แต่เดิมชื่อว่า Liberty Enlightening the World ตั้งอยู่
ณ เกาะเบคโล ปากอ่าวแมนฮัตตัน นครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา
เป็นของขวัญที่ชาวฝรั่งเศสมอบเอาไว้เป็นของขวัญ แก่ชาวอเมริกัน
ในวันที่อเมริกาเฉลิมฉลองวันชาติครบ 100 ปี ณ วันที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2419
โดยส่งมอบอย่างเป็นทางการ โดยมี ประธานาธิบดีโกรเวอร์ คลีฟแลนด์ ในวันที่
28 ตุลาคม พ.ศ. 2429
เทพีเสรีภาพ เป็นประติมากรรมโลหะสำริด
รูปเทพีห่มเสื้อคลุม มือขวาชูคบเพลิง
มือซ้ายถือถือแผ่นจารึกคำประกาศอิสรภาพของสหรัฐฯ และมีอักษรสลักว่า “JULY
IV MDCCLXXVI” หรือ วันที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2319(ค.ศ. 1776)
เท้าข้างหนึ่งมีโซ่ที่ขาด แสดงถึงความหลุดพ้นจากการเป็นทาส สวมมงกุฎ 7
แฉกซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของทะเลทั้งเจ็ด หรือทวีปทั้งเจ็ด
ภายในมีบันไดวนรวมทั้งสิ้น 162 ขั้น เกิดขึ้นตามแนวคิดของเอดูอาร์ด เดอ
ลาบูลาเย นักประวัติศาตร์ ชาวฝรั่งเศส
เพื่อระลึกถึงความสัมพันธ์ของสหรัฐอเมริกา และ ฝรั่งเศส
ระหว่างการปฏิวัติอเมริกัน ออกแบบโดยเฟรเดริค ออกุสต์ บาร์โธลดี
โครงร่างเหล็กออกแบบโดย เออแฌน แอมมานูแอล วิโอเลย์ เลอ ดุค
และอเล็กซองเดรอะ กุสตาฟ แอฟแฟล ซึ่งเป็นผู้ออกแบบหอไอเฟล ในกรุงปารีส
ส่วนฐานอนุสาวรีย์ สร้างโดยสหรัฐอเมริกา จารึกโคลงซอนเนต์ของกวีชาวอเมริกัน
เอมมา ลาซารัส ซึ่งมีเนื้อหาต้อนรับผู้อพยพที่เข้าอยู่มาในอเมริกา
สาเหตุที่ทำให้ชาวฝรั่งเศสมอบเทพีเสรีภาพให้แก่สหรัฐอเมริกา เพราะว่า
พวกเขาชื่นชมชาวอเมริกันที่หาญกล้าหาญ ที่ลุกขึ้นสู้กับสหราชอาณาจักร
และประกาศอิสรภาพ จากสหราชอาณาจักรสำเร็จ เป็นชาติเอกราชในที่สุด
ชาวฝรั่งเศส จึงรณรงค์หาเงินบริจาคจากทั่วประเทศ ในการขนส่งจากฝรั่งเศส
มายังสหรัฐอเมริกา เนื่องจากความใหญ่โตของอนุเสาว์รีย์
ทำให้ต้องแยกส่วนแล้วมาประกอบที่อเมริกา มีชิ้นส่วนรวมทั้งหมด 350 ชิ้น
และนำมาประกอบขึ้นใหม่โดยใช้ระยะเวลาประมาณ 4 เดือน แต่ส่วนฐาน
พบว่ามีการสร้างเสร็จ ในวันที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2429
โดยหมุดตัวสุดท้ายถูกประกอบเสร็จ ในวันที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2429
ปี พ.ศ. 2527 องค์การยูเนสโก
ประกาศให้อนุสาวรีย์เทพีเสรีภาพ เป็นมรดกของโลก
ปัจจุบันมีนักท่องเที่ยวไปเยี่ยมชมไม่น้อยกว่า 800,000 คน
ตามปกติแล้ว
ประชาชนสามารถขึ้นไปชมวิวบนส่วนหัวมงกุฎของเทพีได้ แต่หลังเหตุวินาศกรรม 11
กันยายน พ.ศ. 2544 ทางการได้สั่งปิดอนุสาวรีย์ดังกล่าว ล่าสุด
มีการเปิดให้นักท่องเที่ยว สามารถเดินทางไปที่เกาะ
เพื่อชมความสวยงามของอนุสาวรีย์จากด้านล่างได้
แต่ยังตัวอนุสาวรีย์ยังปิดอยู่ รวมถึงพิพิธภัณฑ์ที่ส่วนฐานของอนุสาวรีย์
ด้วยเหตุผลทางด้านความปลอดภัย

โครงการได้เริ่มขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2408 (ค.ศ.
1865)
โดยประชาชนชาวฝรั่งเศสซึ่งประสงค์จะมอบของขวัญให้แก่ประชาชนชาวสหรัฐฯเพื่อ
เป็นเครื่องหมายเตือนความทรงจำรำลึกถึงสัมพันธภาพอันดีระหว่างสหรัฐฯและ
ฝรั่งเศสในระหว่างสงครามประกาศอิสรภาพในสหรัฐอเมริกา
คณะกรรมการคณะหนึ่งมีนาย เอดดูวาด เดอลาบูลาเย
เป็นประธานประติมากรหนุ่มชื่อ เฟรเดอริก ออกุสเต บาร์ทอลดิ (Frederic
Bartholdi) ซึ่งเป็นกรรมการผู้หนึ่งได้เดินทางไปยังสหรัฐฯ
เพื่อศึกษาความต้องการในการก่อสร้างอนุสรณ์สถานและบาร์ทอลดิเกิดความคิดที่
จะสร้างของขวัญเป็นอนุสรณ์สถานแห่งเสรีภาพขึ้นโดยคณะกรรมการฟรองโกอเมริกัน
จะเป็นผู้ออกค่าใช้จ่าย ฝ่ายอเมริกันรับผิดชอบส่วนที่เป็นรากฐาน
และได้วางแผนจะขอรับบริจาคเงินค่าใช้จ่ายจากเอกชนประมาณสองแสนห้าหมื่น
อเมริกันดอลลาร์ (คิดเป็นเงินไทยประมาณห้าล้านบาทในขณะนั้น)
บาร์ทอลดิ เริ่มงานก่อสร้างอนุสรณ์สถานแห่งเสรีภาพขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2417
(ค.ศ.1874) โดยใช้มารดาของเขาเป็นนางแบบ
เริ่มแรกทำรูปจำลองด้วยปูนปลาสเตอร์สูง 9 ฟุต 1 รูป และสูง 36 ฟุต อีก 1
รูป ในที่สุดก็สามารถกำหนดสัดส่วนของเทพีแห่งเสรีภาพได้
แล้วก่อสร้างขึ้นด้วยโลหะผสมทองแดงกับเหล็กเพื่อความแข็งแกร่ง
การวางแผนดำเนินการโครงการนี้ อยู่ในความอำนวยการของนายกุสตาฟไอเฟล
ซึ่งเป็นวิศวกรชาวฝรั่งเศสผู้ก่อสร้างหอไอเฟล
ในการนี้ต้องตีแผ่นทองแดงมากกว่า 300 แผ่น น้ำหนักรวม 90 ตัน วันที่ 6
มิถุนายน พ.ศ. 2428 (ค.ศ. 1885)ในขณะเดียวกัน
ฝ่ายอเมริกันก็เริ่มงานสร้างฐานไปพร้อมกันโดยได้เลือกสถานที่ประดิษฐาน
อนุสาวรีย์นี้ที่เกาะเบดโล
ซึ่งชื่อเกาะนี้ตั้งตามชื่อของเจ้าของดั้งเดิมคือ ไอแซค เบดโล
และได้เริ่มงานสร้างรากฐานเมื่อ พ.ศ. 2424 (ค.ศ. 1881)
เมื่องานก่อสร้างเริ่มขึ้นแล้ว โครงการต้องหยุดชะงักไประยะหนึ่ง
เพราะขาดเงินสนับสนุน แต่ต่อมา นายโจเซฟ ฟูลิตเซอร์
บรรณาธิการผู้มีชื่อเสียงของหนังสือพิมพ์นิวยอร์กเวิลด์
ได้รณรงค์หาทุนให้โดยขอรับบริจาคจากมหาชนใน พ.ศ. 2428 (ค.ศ.1885)
ทำให้งานก่อสร้างรากฐานสำเร็จลุล่วงในปลายปีเดียวกันนั้น
ส่วนของอนุสรณ์สถานที่เป็นรูปเทพีได้เดินทางมาถึงนครนิวยอร์กเมื่อเดือน
พฤษภาคม พ.ศ. 2428 (ค.ศ.1885) โดยจัดเป็นชิ้นๆบรรจุในหีบใหญ่ถึง 214 หีบ
เมื่อมาถึงแล้วจึงนำชิ้นส่วนมาต่อกันและติดตั้งเป็นรูปร่างที่บนป้อมเก่า
อยู่ทางปลายสุดของเกาะลิเบอร์ตี้ Liberty เดิมชื่อเกาะเบดโล Bedloe
รูปปั้นนี้หนัก 254 ตัน
ออกแบบเป็นรูปสตรีสวมเสื้อผ้าคลุมร่างตั้งแต่ไหล่ลงมาจรดปลายเท้า
ท่วงท่าสง่างาม ศีรษะสวมมงกุฎ มือขวาถือคบเพลิงชูเหนือศีรษะ
มือซ้ายถือหนังสือคำประกาศอิสรภาพตั้งแต่เวลาเย็นจนถึงกลางคืน
ไฟจากคบเพลิงของเทพีแห่งเสรีภาพนี้จะเปล่งแสงสว่างผู้ที่ไปเยือนเพียงยืน
อยู่ที่ฐานของอนุสรณ์สถานก็จะรู้สึกได้ถึงความใหญ่โตมโหฬารของอนุสาวรีย์
แห่งนี้ ที่อนุสรณ์สถานมีทางเดินจากป้อมเข้าสู่ส่วนที่เป็นแท่นฐาน
และที่ทางเข้ามีแผ่นบรอนซ์จารึกข้อความเป็นคำประพันธ์ซอนเนท แต่งโดย เอมมา
ลาซารัส เมื่อ พ.ศ. 2416 (ค.ศ.1883) เมื่อเดินเข้าไปในตัวเทพี
จะมีบันไดเลื่อนพาสูงขึ้นไป 10 ชั้นแรก หรือบันได 167 ขั้น
ไม่ต้องเหน็ดเหนื่อยขึ้นบันไดเวียน 12 ชั้น รวม 168 ขั้น
ซึ่งจะขึ้นไปได้จนถึงศีรษะและมงกุฎของเทพีแห่งเสรีภาพ
มีลานซึ่งจุคนได้ครั้งละ 20-30 คน
จากลานนี้สามารถชื่นชมทิวทัศน์อันงดงามกว้างไกลของอ่าวนิวยอร์กตลอดไปทาง
เหนือ
ซึ่งจะมองเห็นเมืองแมนฮัตตันและเขตธุรกิจการเงินและทิวทัศน์ทางใต้จะเห็นสะ
พานแคนเวอราซาโนด้วย เทพีแห่งเสรีภาพนี้สูง 93.3 เมตร (306 ฟุต 8 นิ้ว)
นับจากส่วนล่างถึงยอดคบไฟ เฉพาะตัวเทพีสูง 46.4 เมตร (152 ฟุต 2 นิ้ว)
แขนขวายาว 12.8 เมตร (42 ฟุต) มือยาว 5.03 เมตร (16 ฟุต 5 นิ้ว)
หนังสือในมือซ้ายของเทพีหนา 2 ฟุต ยาว 23 ฟุตครึ่ง จารึกว่า “July 4, 1776″
ตรงกับวันที่ 4 กรกฎาคม 2319 อันเป็นวันประกาศอิสรภาพของสหรัฐอเมริกา
ที่ปลายเท้าเทพีมีโซ่หักขาดชำรุด
ซึ่งแสดงความหมายของการล้มล้างระบบทรราชลงได้ เมื่อวันที่ 28 ตุลาคม
พ.ศ. 2429 (ค.ศ.1886) ประธานาธิบดีโกรเวอร์ คลีฟแลนด์
ได้ประกอบพิธีเปิดอนุสรณ์สถานแห่งเสรีภาพ นายบาร์ทอลติ และ เฟอดินัน เดอ
เลสเซน ซึ่งเป็นผู้สืบทอดงานจาก นายเอดดูวาร์ด เดอ ลาบูลาเย มาร่วมงานด้วย
และในพิธีเปิดครั้งนั้นได้มีเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้นคือ
ขณะที่วุฒิสมาชิกกำลังอ่านคำปราศัยได้มีการให้สัญญาณเปิดผ้าคลุมออกก่อน
กำหนดเวลา มีการยิงปืนใหญ่ ชาวเรือในอ่าวต่างตะโกนกู่ก้อง
และฝูงชนที่มาชุมนุมร่วมพิธีเปิดต่างก็โห่ร้องแสดงความยินดีกันอึงคะนึง
ขณะที่ผ้าคลุมเทพีเปิดออกเรียบร้อยแล้ว
ปรากฏว่าวุฒิสมาชิกยังคงอ่านคำปราศัยต่อไปจนจบ
คลองปานามา

สถานที่ตั้ง คอคอดระหว่างทวีปอเมริกาเหนือและอเมริกาใต้ ประเทศปานามาปัจจุบัน สามารถเข้าเยี่ยมชมได้
คลองปานามาเป็นคลองขุดตัดคอคอดระหว่างทวีปอเมริกาเหนือและอเมริกาใต้ใน ประเทศปานามาให้มีทางเดินเรือทางลัดจากมหาสมุทรอัตลันติคไปสู่มหาสมุทร แปซิฟิกได้สะดวกและรวดเร็ว ผู้เริ่มขุดคลองนี้คือ เฟอร์ดินัน เดอ ลสเซปส์ วิศกรผู้ขุดคลองสุเอซนั่นเองแต่เขาทำไปได้ไม่สำเร็จต้องล้มเลิกไป รัฐบาลอเมริกันจึงเข้าดำเนินการรับช่วงต่อและขุดสำเร็จเมื่อ พ.ศ. 2457 เป็นคลองยาว 50 3/4 ไมล์ มีส่วนกว้าง 300-400 ฟุต ลึก 35-40 ฟุต สิ้นเงินค่าสร้าง 700,000,000 ปอนด์ ช่วยย่นระยะทางในการต้องอ้อมแหลมสุดของอเมริกาถึง 6,700 ไมล์ แต่ที่แปลกไปกว่าคลองสุเอซก็คือ คลองนี้ขุดขึ้นไปบนที่สูง ผ่านทะเลสาบหลายแห่ง จึงต้องทำประตูระบายน้ำไว้เป็นตอน ๆ เพื่อยกระดับเรือให้สูงขึ้นจนเสมอระดับน้ำในทะเลสาบ แล้วไปลงทางอีกด้านหนึ่งด้วยการลดระดับน้ำให้ต่ำลงไปจนเทียบเท่ากับระดับน้ำ ทะเล จัดเป็นคลองเดินเรือนานาชนิดที่สำคัญมากคลองหนึ่ง
ความเป็นมาของคลองปานามา
ก่อนปี ค.ศ. 1914 ถ้าใครอยากเดินทางจากนครนิวยอร์กไปยังนครซานฟรานซิสโก เขาผู้นั้นต้องเดินทางรอนแรมทางเรือเดินสมุทรอ้อมทวีปอเมริกาใต้ เป็นระยะทางถึง 20,900 กิโลเมตร เชื่อระหว่างมหาสมุทรแปซิฟิกกับมหาสมุทรแอตแลนติกในบริเวณอเมริกากลาง ซึ่งมีลักษณะเหมือนเอวกิ่วขอดระหว่างทวีปอเมริกาเหนือและทวีปอเมริกาใต้ได้ สำเร็จแล้วก็จะสามารถย่นระยะทางและเวลาเดินทางไปอย่างมากมาย
ในปี ค.ศ. 1878 ฝรั่งเศสเป็นชาติแรกที่ตั้งใจจะลงมือปฏิบัติการให้ความฝันที่กล่าวถึงเป็น จริง นักผจญภัยชาวฝรั่งเศสชื่อ ลูเซียน นะโปเลียน โบนาปาร์ต ไวส์ ได้รับสัมปทานจากรับบาลโคลัมเบีย (ขณะนั้นปานามาเป็นจังหวัดหนึ่งของประเทศดคลัมเบีย) ให้ขุดคลองซึ่งจะเชื่อมระหว่างสองมหาสมุทรในบริเวณปานามาเขาได้ขายสัมปทาน ต่อให้กับบริษัทฝรั่งเศสที่บริหารดดยนายเฟอร์ดินาน เดอเลซเซป ซึ้งดำเนินการขุดคลองปานามาในทันที แต่ความพยายามก่อสร้างคลองของบริษัทฝรั่งเศสไม่สำเร็จ ด้วยเหตุผลหลายประการด้วยกันคือ ประการแรก เพื่อนร่วมงานและนักการเมืองที่สนับสนุนเขามีใจไม่ซื่อขโมยเอาเงินจำนวนมาก ไปจากบริษัท
ประการที่สอง บริษัทวางแผนจะสร้างคลองที่จะมีระดับน้ำในคลองอยู่ในระดับเดียวกับน้ำใน มหาสมุทร กล่าวคือไม่สร้างประตูกั้นน้ำ ซึ่งเป็นเรื่งยาก และฝรั่งเศสก็ไม่มีเทคโนโลยีและเครื่องจักรที่ทันสมันพอที่จะดำเนินการดัง กล่าว ประการสุดท้ายที่ดูจะเป็นอุปสรรคที่สำคัญที่สุดคือ โรคภัยไข้เจ็บในภูมิภาคเขตร้อนที่คนงานก่อสร้างคลองต้องเผชิญทั้งโรคไข้ เหลืองและมาลาเรีย คร่าชีวิตคนงานเป็นจำนวนมากและทำให้การก่อสร้างไม่คืบหน้าเท่าไหร่ ในที่สุด บริษัทของนายเดอเลซเซปก็ล้มละลายต้องขายโครงการขุดคลองทอดตลาดไป ประเทศที่เล็งเห็นความสำคัญของการขุดคลองนี้คือประเทศสหรัฐอเมริกา ทั้งนี้เพราะระหว่างสงครามที่สหรัฐฯ ทำกับสเปนในปี ค.ศ. 1898 การเดินทางระหว่างฝั่งตะวันตกกับตะวันออกของสหรัฐฯ กลายเป็นเรื่องยุทธศาสตร์ขึ้นมา ถ้ามีคลองลัดย่นระยะทางการเดินทางของเรือรบและเรือขนส่งยุทธสัมภาระได้ ก็จะเป็นผลดีอย่างยิ่งในการป้องกันประเทศ รับบาลสหรัฐจึงได้หันมาให้ความสนใจเรื่องนี้อย่างจริงจัง
แต่ก่อนจะซื้อสัมปทานสหรัฐฯ ก็ได้ไปเจรจากับรัฐบาลโคลัมเบียก่อนว่าหากสหรัฐฯลงทุนขุดคลองแล้วก็ขอให้ ฝ่ายหลังยินยอมให้สหรัฐฯ เช่าพื้นที่บริเวณนั้นเพื่อดำเนินการควบคุมการเข้าออกของเรือที่จะผ่านคลอง แต่รัฐบาลโคลัมเบียก็มัวเกี่ยงงอนเรื่องราคาค่าเช่าที่ ไม่ยอมตกลงกับรัฐบาลสหรัฐฯง่าย ๆ พอดีขณะนั้น ชาวปานามาซึ่งกลัวว่าโคลัมเบียจะไม่แบ่งผลประโยช์ให้เท่าที่พวกตนควรจะได้ก็ ได้ก่อการปฏิวัติขึ้นและประกาศตัวเป็นประเทศเอกราช สหรัฐฯได้รับรองเอกราชของปานามาและยังได้ช่วยไม่ให้โคลัมเบียยกกองทหารเข้า มาปราบปรามชาวปานามาได้ ในที่สุดสหรัฐฯก็ได้ทำสัญญากันในปี ค.ศ.1903 โดยปานามายกกรรมสิทธิ์ที่ดินเป็นระยะทางกว้าง 10 กิโลเมตร ตลอดแนวทางที่สหรัฐฯ จะขุดคลองให้รัฐบาลสหรัฐฯเป็นผู้ดำเนินการบริหารเป็นสิทธิขาดตลอดไปโดย สหรัฐฯจะจ่ายเงินตอบแนให้ปานามาเป็นจำนวนเงิน 10 ล้านดอลลาร์และจะให้เป็นประจำทุกปี อีกปีละ 250,000 ดอลลาร์
เมื่อจบเรื่องทางการเมืองแล้ว สหรัฐฯจึงได้เริ่มดำเนินการก่อสร้างคลองปานามาในปี ค.ศ.1904 ก่อนอื่นหสรัฐฯได้ศึกษาความล้มเหลวของบริษัทฝรั่งเศสเสียก่อนและได้เริ่มลง มือปราบปรามโรคร้ายที่เป็นอุปสรรคสำคัญในการก่อสร้างคลอง พันเอก วิลเลียม ซี กอร์กัสได้รับมอบหมายให้ดำเนินการดังกล่าว เขาเป็นหมอทหารที่มีชื่อเสียงมาจากการปราบปรามโรคร้ายในประเทศคิวบา กอร์กัสได้เริ่มรณรงค์ขจัดยุงชนิดหนึ่งซึ่งเป็นพาหะในการนำโรคไข้เหลืองและ มาลาเรีย โดยการขจัดหนองน้ำที่เป็นแหล่งเพาะพัมธุ์และขจัดพงหญ้าที่เป็นแหล่งหลบซ่อน ตัวของยุงเหล่านั้น ตลอดจนกำจัดหนูซึ่งเป็นพาหะกาฬโรค เขาใช้เวลาในการกำจัดอยู่ 10 ปี รัฐบาลสหรัฐฯได้ใช้เงินไปประมาณ 20 ล้านดอลลาร์เฉพาะในการปราบปรามโรคเหล่านี้ ใน ค.ศ.1914 การดำเนินการก่อสร้างคลองนี้ก็ได้เริ่มขึ้น โดยสหรัฐฯตัดสินใจที่จะก่อสร้างคลองที่มีประตูกั้นน้ำเป็นระยะ ๆ แทนที่จะเป็นคลองที่มีระดับน้ำเท่ากับระดับน้ำทะเล การขุดคลองปานามาเป็นเรื่องยากสหรัฐใช้คนงานถึง 43,400 คน เงินประมาณกว่า 380 ล้านดอลลาร์ ต้องสร้างประตูน้ำหลายประตู และยังต้องขุดเข้าไปในภูเขา และสร้างเขื่อนกันน้ำด้วย ในเดือนสองหาคม ค.ศ.1914 การก่อสร้างคลองปานามาจึงได้เสร็จสิ้นสมบูรณ์ คลองซึ่งมีความยาว 80 กว่า กิโลเมตร สามารถย่นระยะการเดนทางระหว่างฝั่งทะเลด้านตะวันตกและตะวันออกของสหรัฐฯไป ถึง 15,700 กิโลเมตร ภายหลังจากคลองได้มีการเปิดใช้งานเป็นเวลาหลายปี รัฐบาลปานามาก็เริ่มแสดงความไม่พอใจว่าสนธิสัญญาที่ทำกับสหรัฐฯ โดยมอบกรรมสิทธิ์ที่ดินและการบริหารงานบริเวณคลองให้สหรัฐฯ เป็นสัญญาที่อยุติธรรมชาวปานามาได้ก่อการจราจลขึ่นในปี ค.ศ. 1964 มีชาวปานามาเสียชีวิต 20 คน และชาวอเมริกัน 4 คน รัฐบาลสหรัฐฯ ซึ่งอยากจะรับความสะมพันธ์อันดีของตนกับประเทศในละตินอเมริกาเอาไว้ จึงได้ยอมทำสัญญาใหม่กับปานามาโดยยอมคืนกรรมสิทธิที่ดินบริเวณคลอง ให้กับปานามาในปี ค.ศ.1979 นอกจากนั้นยังได้สัญญาว่าจะยอมมอบสิทธิในหารบริหารคลองปานามาให้กับรัฐบาล ปานามาในปี ค.ศ.1999 คลองปานามาเป็นเส้นทางคมนาคมทางน้ำที่สำคัญยิ่งยวดทั้งทางด้านการทหารและ การค้า เรือกว่า 13,500 ลำ ใช้เส้นทางนี้เป็นประจำทุกปี 55% ของเรือดังกล่าววิ่งระหว่างฝั่งทะเลตะวันออกและฝั่งทะเลตะวันตกของสหรัฐฯ สินค้าหนักกว่า 148 ล้านเมตริกตันผ่านเข้า-ออกคลองปานามาในทุกๆปี
คลองปานามาเป็นคลองขุดตัดคอคอดระหว่างทวีปอเมริกาเหนือและอเมริกาใต้ใน ประเทศปานามาให้มีทางเดินเรือทางลัดจากมหาสมุทรอัตลันติคไปสู่มหาสมุทร แปซิฟิกได้สะดวกและรวดเร็ว ผู้เริ่มขุดคลองนี้คือ เฟอร์ดินัน เดอ ลสเซปส์ วิศกรผู้ขุดคลองสุเอซนั่นเองแต่เขาทำไปได้ไม่สำเร็จต้องล้มเลิกไป รัฐบาลอเมริกันจึงเข้าดำเนินการรับช่วงต่อและขุดสำเร็จเมื่อ พ.ศ. 2457 เป็นคลองยาว 50 3/4 ไมล์ มีส่วนกว้าง 300-400 ฟุต ลึก 35-40 ฟุต สิ้นเงินค่าสร้าง 700,000,000 ปอนด์ ช่วยย่นระยะทางในการต้องอ้อมแหลมสุดของอเมริกาถึง 6,700 ไมล์ แต่ที่แปลกไปกว่าคลองสุเอซก็คือ คลองนี้ขุดขึ้นไปบนที่สูง ผ่านทะเลสาบหลายแห่ง จึงต้องทำประตูระบายน้ำไว้เป็นตอน ๆ เพื่อยกระดับเรือให้สูงขึ้นจนเสมอระดับน้ำในทะเลสาบ แล้วไปลงทางอีกด้านหนึ่งด้วยการลดระดับน้ำให้ต่ำลงไปจนเทียบเท่ากับระดับน้ำ ทะเล จัดเป็นคลองเดินเรือนานาชนิดที่สำคัญมากคลองหนึ่ง
ความเป็นมาของคลองปานามา
ก่อนปี ค.ศ. 1914 ถ้าใครอยากเดินทางจากนครนิวยอร์กไปยังนครซานฟรานซิสโก เขาผู้นั้นต้องเดินทางรอนแรมทางเรือเดินสมุทรอ้อมทวีปอเมริกาใต้ เป็นระยะทางถึง 20,900 กิโลเมตร เชื่อระหว่างมหาสมุทรแปซิฟิกกับมหาสมุทรแอตแลนติกในบริเวณอเมริกากลาง ซึ่งมีลักษณะเหมือนเอวกิ่วขอดระหว่างทวีปอเมริกาเหนือและทวีปอเมริกาใต้ได้ สำเร็จแล้วก็จะสามารถย่นระยะทางและเวลาเดินทางไปอย่างมากมาย
ในปี ค.ศ. 1878 ฝรั่งเศสเป็นชาติแรกที่ตั้งใจจะลงมือปฏิบัติการให้ความฝันที่กล่าวถึงเป็น จริง นักผจญภัยชาวฝรั่งเศสชื่อ ลูเซียน นะโปเลียน โบนาปาร์ต ไวส์ ได้รับสัมปทานจากรับบาลโคลัมเบีย (ขณะนั้นปานามาเป็นจังหวัดหนึ่งของประเทศดคลัมเบีย) ให้ขุดคลองซึ่งจะเชื่อมระหว่างสองมหาสมุทรในบริเวณปานามาเขาได้ขายสัมปทาน ต่อให้กับบริษัทฝรั่งเศสที่บริหารดดยนายเฟอร์ดินาน เดอเลซเซป ซึ้งดำเนินการขุดคลองปานามาในทันที แต่ความพยายามก่อสร้างคลองของบริษัทฝรั่งเศสไม่สำเร็จ ด้วยเหตุผลหลายประการด้วยกันคือ ประการแรก เพื่อนร่วมงานและนักการเมืองที่สนับสนุนเขามีใจไม่ซื่อขโมยเอาเงินจำนวนมาก ไปจากบริษัท
ประการที่สอง บริษัทวางแผนจะสร้างคลองที่จะมีระดับน้ำในคลองอยู่ในระดับเดียวกับน้ำใน มหาสมุทร กล่าวคือไม่สร้างประตูกั้นน้ำ ซึ่งเป็นเรื่งยาก และฝรั่งเศสก็ไม่มีเทคโนโลยีและเครื่องจักรที่ทันสมันพอที่จะดำเนินการดัง กล่าว ประการสุดท้ายที่ดูจะเป็นอุปสรรคที่สำคัญที่สุดคือ โรคภัยไข้เจ็บในภูมิภาคเขตร้อนที่คนงานก่อสร้างคลองต้องเผชิญทั้งโรคไข้ เหลืองและมาลาเรีย คร่าชีวิตคนงานเป็นจำนวนมากและทำให้การก่อสร้างไม่คืบหน้าเท่าไหร่ ในที่สุด บริษัทของนายเดอเลซเซปก็ล้มละลายต้องขายโครงการขุดคลองทอดตลาดไป ประเทศที่เล็งเห็นความสำคัญของการขุดคลองนี้คือประเทศสหรัฐอเมริกา ทั้งนี้เพราะระหว่างสงครามที่สหรัฐฯ ทำกับสเปนในปี ค.ศ. 1898 การเดินทางระหว่างฝั่งตะวันตกกับตะวันออกของสหรัฐฯ กลายเป็นเรื่องยุทธศาสตร์ขึ้นมา ถ้ามีคลองลัดย่นระยะทางการเดินทางของเรือรบและเรือขนส่งยุทธสัมภาระได้ ก็จะเป็นผลดีอย่างยิ่งในการป้องกันประเทศ รับบาลสหรัฐจึงได้หันมาให้ความสนใจเรื่องนี้อย่างจริงจัง
แต่ก่อนจะซื้อสัมปทานสหรัฐฯ ก็ได้ไปเจรจากับรัฐบาลโคลัมเบียก่อนว่าหากสหรัฐฯลงทุนขุดคลองแล้วก็ขอให้ ฝ่ายหลังยินยอมให้สหรัฐฯ เช่าพื้นที่บริเวณนั้นเพื่อดำเนินการควบคุมการเข้าออกของเรือที่จะผ่านคลอง แต่รัฐบาลโคลัมเบียก็มัวเกี่ยงงอนเรื่องราคาค่าเช่าที่ ไม่ยอมตกลงกับรัฐบาลสหรัฐฯง่าย ๆ พอดีขณะนั้น ชาวปานามาซึ่งกลัวว่าโคลัมเบียจะไม่แบ่งผลประโยช์ให้เท่าที่พวกตนควรจะได้ก็ ได้ก่อการปฏิวัติขึ้นและประกาศตัวเป็นประเทศเอกราช สหรัฐฯได้รับรองเอกราชของปานามาและยังได้ช่วยไม่ให้โคลัมเบียยกกองทหารเข้า มาปราบปรามชาวปานามาได้ ในที่สุดสหรัฐฯก็ได้ทำสัญญากันในปี ค.ศ.1903 โดยปานามายกกรรมสิทธิ์ที่ดินเป็นระยะทางกว้าง 10 กิโลเมตร ตลอดแนวทางที่สหรัฐฯ จะขุดคลองให้รัฐบาลสหรัฐฯเป็นผู้ดำเนินการบริหารเป็นสิทธิขาดตลอดไปโดย สหรัฐฯจะจ่ายเงินตอบแนให้ปานามาเป็นจำนวนเงิน 10 ล้านดอลลาร์และจะให้เป็นประจำทุกปี อีกปีละ 250,000 ดอลลาร์
เมื่อจบเรื่องทางการเมืองแล้ว สหรัฐฯจึงได้เริ่มดำเนินการก่อสร้างคลองปานามาในปี ค.ศ.1904 ก่อนอื่นหสรัฐฯได้ศึกษาความล้มเหลวของบริษัทฝรั่งเศสเสียก่อนและได้เริ่มลง มือปราบปรามโรคร้ายที่เป็นอุปสรรคสำคัญในการก่อสร้างคลอง พันเอก วิลเลียม ซี กอร์กัสได้รับมอบหมายให้ดำเนินการดังกล่าว เขาเป็นหมอทหารที่มีชื่อเสียงมาจากการปราบปรามโรคร้ายในประเทศคิวบา กอร์กัสได้เริ่มรณรงค์ขจัดยุงชนิดหนึ่งซึ่งเป็นพาหะในการนำโรคไข้เหลืองและ มาลาเรีย โดยการขจัดหนองน้ำที่เป็นแหล่งเพาะพัมธุ์และขจัดพงหญ้าที่เป็นแหล่งหลบซ่อน ตัวของยุงเหล่านั้น ตลอดจนกำจัดหนูซึ่งเป็นพาหะกาฬโรค เขาใช้เวลาในการกำจัดอยู่ 10 ปี รัฐบาลสหรัฐฯได้ใช้เงินไปประมาณ 20 ล้านดอลลาร์เฉพาะในการปราบปรามโรคเหล่านี้ ใน ค.ศ.1914 การดำเนินการก่อสร้างคลองนี้ก็ได้เริ่มขึ้น โดยสหรัฐฯตัดสินใจที่จะก่อสร้างคลองที่มีประตูกั้นน้ำเป็นระยะ ๆ แทนที่จะเป็นคลองที่มีระดับน้ำเท่ากับระดับน้ำทะเล การขุดคลองปานามาเป็นเรื่องยากสหรัฐใช้คนงานถึง 43,400 คน เงินประมาณกว่า 380 ล้านดอลลาร์ ต้องสร้างประตูน้ำหลายประตู และยังต้องขุดเข้าไปในภูเขา และสร้างเขื่อนกันน้ำด้วย ในเดือนสองหาคม ค.ศ.1914 การก่อสร้างคลองปานามาจึงได้เสร็จสิ้นสมบูรณ์ คลองซึ่งมีความยาว 80 กว่า กิโลเมตร สามารถย่นระยะการเดนทางระหว่างฝั่งทะเลด้านตะวันตกและตะวันออกของสหรัฐฯไป ถึง 15,700 กิโลเมตร ภายหลังจากคลองได้มีการเปิดใช้งานเป็นเวลาหลายปี รัฐบาลปานามาก็เริ่มแสดงความไม่พอใจว่าสนธิสัญญาที่ทำกับสหรัฐฯ โดยมอบกรรมสิทธิ์ที่ดินและการบริหารงานบริเวณคลองให้สหรัฐฯ เป็นสัญญาที่อยุติธรรมชาวปานามาได้ก่อการจราจลขึ่นในปี ค.ศ. 1964 มีชาวปานามาเสียชีวิต 20 คน และชาวอเมริกัน 4 คน รัฐบาลสหรัฐฯ ซึ่งอยากจะรับความสะมพันธ์อันดีของตนกับประเทศในละตินอเมริกาเอาไว้ จึงได้ยอมทำสัญญาใหม่กับปานามาโดยยอมคืนกรรมสิทธิที่ดินบริเวณคลอง ให้กับปานามาในปี ค.ศ.1979 นอกจากนั้นยังได้สัญญาว่าจะยอมมอบสิทธิในหารบริหารคลองปานามาให้กับรัฐบาล ปานามาในปี ค.ศ.1999 คลองปานามาเป็นเส้นทางคมนาคมทางน้ำที่สำคัญยิ่งยวดทั้งทางด้านการทหารและ การค้า เรือกว่า 13,500 ลำ ใช้เส้นทางนี้เป็นประจำทุกปี 55% ของเรือดังกล่าววิ่งระหว่างฝั่งทะเลตะวันออกและฝั่งทะเลตะวันตกของสหรัฐฯ สินค้าหนักกว่า 148 ล้านเมตริกตันผ่านเข้า-ออกคลองปานามาในทุกๆปี
น้ำตกไนแองการา

น้ำตกไนแอการา (อังกฤษ: Niagara Falls ; ฝรั่งเศส: les Chutes du Niagara) เป็นน้ำตกขนาดใหญ่หลายแห่งประกอบกัน ตั้งอยู่บนแม่น้ำไนแอการาทางตะวันออกของทวีปอเมริกาเหนือ บนพรมแดนระหว่างประเทศแคนาดากับสหรัฐอเมริกา น้ำตกไนแอการาประกอบด้วยน้ำตกสามแห่งที่แยกออกจากกัน คือ น้ำตกเกือกม้า (Horseshoe Falls บางครั้งก็เรียก น้ำตกแคนาดา) สูง 158 ฟุต, น้ำตกอเมริกาสูง 167 ฟุต, และน้ำตกขนาดเล็กกว่าที่อยู่ติดกัน คือน้ำตก Bridal Veil. แม้น้ำตกไนแอการาจะไม่สูงอย่างโดดเด่น แต่ก็กว้างมาก น้ำตกไนแองการามีจุดชมวิวที่สวยงามและเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญของทั้ง 2 ประเทศมานานกว่าศตวรรษแม่น้ำไนแอการาไหลมาจากทะเลสาบอีรีไหลผ่านน้ำตกไนแอกา ราลงสู่ทะเลสาบออนตาริโอ เมืองสองฝั่งของน้ำตกในสองประเทศนั้นเป็นเมืองแฝด โดยในฝั่งแคนาดาคือ ไนแอการาฟอลส์ ออนตาริโอ ส่วนในฝั่งสหรัฐอเมริกาคือ ไนแอการาฟอลส์ มลรัฐนิวยอร์ก
พีระมิดเม็กซิโก

พีระมิดเม็กซิโก
ตั้งอยู่ที่เมืองเตเออตีวากันประเทศเม็กซิโก
สร้างขึ้นโดยชนเผ่าพื้นเมืองโบราณของอเมริกาชื่อ ตอลเตค
เพื่อบูชาพระอาทิตย์และพระจันทร์
ซึ่งมีลักษณะคล้ายพีระมิดอียิปต์สร้างด้วยอิฐและปูนขาวเป็นชั้นๆ สูง 216
ฟุตฐานกว้างด้านละ 721 ฟุต
และได้มีความเชื่อกันว่าภายในพีระมิดได้บรรจุอัฐิของกษัตริย์ของชาวตอลเตค
ในปัจจุบันนี้ชนเผ่านี้ได้สาบสูญไปหมดแล้วเหลือไว้เพียงแต่โบราณสถานที่
สำคัญที่แสดงถึงความเจริญรุ่งเรืองของชนเผ่าทิ้งไว้ให้คนรุ่นหลังศึกษาค้น
คว้ากันต่อไป
สะพานโกลเด้นเกท
เป็น “สะพานแขวน” ที่ยาวที่สุดในโลกในอดีต
ทอดข้ามอ่าวทางตอนเหนือของ เมืองท่าซานฟรานซิสโก สหรัฐอเมริกา
เฉพาะช่วงสะพานตอนกลางยาวถึง 4,200 ฟุต กว้าง 90 ฟุต
ข้างสะพานทั้งสองด้านมี สะพานช่วงสั้นต่อกันรวมทั้งหมดเกือบ 7 กิโลเมตร
มีหอคอยเหล็กสองข้างสูงข้างละ 746 ฟุต ลวดเคเบิ้ลที่
โยงทอดเป็นตัวดึงน้ำหนักสะพาน มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 36 นิ้ว ข้างละ 2
เส้นรวม 4 เส้นยาว 107,000 ไมล์ และยังมีลวดโยงเส้นเล็กๆอื่นๆอีก 27,572
เส้นตัวสะพานอยู่สูงกว่าระดับน้ำในอ่าว 220 ฟุต ใช้เป็น ทางรถยนต์โดยสาร 6
ทาง รถยนต์บรรทุก 3 ทางและทางรถไฟอีก 2 ทาง สะพานแห่งนี้เริ่มสร้างในปี
ค.ศ. 1933 แล้วเสร็จในปี ค.ศ.1937 ใช้เงินประมาณ 35,000,000 เหรียญ
นับเป็นสะพานแขวนยาวที่สุดแห่งแรก ของโ

สะพานโกลเด้นเกท
อนุสาวรีย์ 4 ประธานาธิบดี
การสลักภูผาใบหน้ามหึมาที่เพ่งสายตามองลงมาจากด้านข้างของภูเขาแบล็กฮิลส์ รัฐเซาธ? ดาโกตา ในสหรัฐอเมริกา เป็นใบหน้าที่สลักเข้าไปในเนื้อหินแกรนิตบนยอดเขาแห่งนี้ หากมีการสลักร่างกายให้ได้สัดส่วนกับใบหน้าขนาดยักษ์เหล่านี้ รูปสลักนั้นจะต้องสูงถึง 140 ม.
ใบหน้าทั้ง 4 นี้เป็นของประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกา 4 ท่าน ที่สลักขึ้นโดยอาศัยคนปีนป่ายหน้าผาขึ้นไปเจาะและระเบิดหินด้วยอุปกรณ์เจาะ ที่ใช้แรงลมและดินระเบิด ผู้อำนวยการสร้างอนุสาวรีย์แงนี้คือประติมากรชาวอเมรกันเชื้อสายเดนมาร์ก ชื่อนายจอห์น กัตซัน บอร์กลัม งานแกะสลักหินผาขนาดมหึมานี้ใช้เวลาถึง 14 ปีจึงเสร็จสิ้นลง

รูปสลักบนยอดเขานี้คืออนุสาวรีย์แห่งชาติ เป็นรูปสลักใบหน้าประธานาธิบดี 4
ท่าน ซึ่งได้รับเลือกให้เป็นสัญลักษณ์ของกำเนิดและอุดมคติแห่งชาติ
ประกอบด้วยรูปสลักใบหน้าของนายจอร์จ วอชิงตัน
ซึ่งเป็นประธานาธิบดีคนแรกของสหรัฐฯ นายธอมัส เจฟเฟอร์สัน
ประธานาธิบดีคนที่ 3 นายเอบราแฮม ลินคอล์น ประธานาธิบดีคนที่ 16
และนาธีโอดอร์ รูสเวลต์ ประธานาธิบดีคนที่ 26
จุดเริ่มต้นความคิดเรื่องสร้างอนุสาวรีย์นี้สืบเนื่องมาจากข้อเสนอแนะของ
นักประวัติศาสตร์แห่งรัฐเซาส์ ตาโกตาชื่อนายโดเอน รอบินสัน เมื่อปี ค.ศ.
1923 เขาเสนอแนะว่าน่าจะแกะสลักยอดเขาหินแกรนิตแหลมชันในภูเขาแบล็กฮิลส์
ที่มีชื่อว่า “เดอะนีเดิลส์” (แท่งเข็ม)
ให้เป็นรูปเหมือนของวีรบุรุษตะวันตกของอเมริกา เช่น คิต คาร์สัน
และบัฟฟาโล บิล โคตี เป็นต้น
แต่นายบอร์กลัมซึ่งเป็นผู้ดำเนินงานโครงการนี้ไม่เห็นด้วยทั้งในเรื่องของ
ทำเลและเรื่องราวที่จะแกะสลัก
เขาคิดว่างานใหญ่เช่นนี้เป็นงานที่มีความสำคัญระดับชาติการสลักอนุสาวรีย์ประจำชาติที่เมาต์รัชมอร์ดำเนินการในระหว่าง ค.ศ.1927-1941 ด้วยค่าใช้จ่าย 990,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งส่วนใหญ่ได้มาจากงบประมาณของรัฐบาลกลาง แต่บางส่วนก็ได้มาจากการบริจาคส่วนบุคคล งานแกะสลักจริง ๆ นั้นใช้เวลาประมาณ 6 ปีครึ่ง แต่ที่งานล่าช้าเนื่องจากปัญหาทางการเงินในช่วงปีแรก ๆ ซึ่งเป็นช่วงที่ดินฟ้าอากาศก็ไม่อำนวย คนงานส่วนใหญ่เป็นคนงานเหมืองในท้องถิ่น (ทั้งเหมืองใต้ดินและเหมืองเปิด) ภายในเวลา 14 ปีต้องจ้างคนงานแกะสลักประมาณ 360 คน ทำงานกันเป็นกลุ่ม กลุ่มละ 30 คนสำหรับทำเลที่จะแกะสลักสร้างอนสาวรีย์นั้นบอร์กลัมเลือกจุดที่มีชื่อว่า เมานต์ รัชมอร์ (Mount Rushmore) หรือ “ภู” รัชมอร์ซึ่งสูง 1,745 ม. ทั้งนี้เพราะว่าหินแกรนิตในบริเวณนี้มีเนื้อละเอียด แต่กระนั้นก็ยังต้องทำความสะอาดผิวหน้าของหินโดยต้องตัดผิวหินที่กรำแดดฝน และแตกร้าวทิ้งไปหลายตัน กว่าจะถึงเนื้อหินชั้นที่มีคุณภาพเหมาะแก่การแกะสลัก ในจุดที่จะสลักศีรษะของประธานาธิบดีจอร์จ วอชิงตัน ต้องตัดผิวหน้าหินทิ้งไปหนา 9 ม. ส่วนศีรษะของประธานาธิบดีรูสเวลต์ซึ่งอยู่ด้านในสุดต้องตัดหินทิ้งไปหนาถึง 37 ม. เนื้อหินที่ตัดทิ้งไปในการแกะสลักนั้นมีน้ำหนักราว 450,000 ตัน ซึ่งยังคงทิ้งอยู่ตามเชิงเขานั่นเอง
บอร์กลัมประสงค์ที่จะแกะสลักรูปหน้าเหล่านี้ทีละรูป เพื่อให้กลมกลืนกับรูปอื่นและสิ่งแวดล้อม เขาเริ่มงานโดยการหล่อรูปหน้าของประธานาธิบดีวอชิงตันเป็นรูปแรกด้วยปูน ปลาสเตอร์ โดยย่อส่วนลง 12 เท่าจากที่จะสร้างจริง แบบจำลองศีรษะนี้สูง 1.5 ม. บอร์กลัมติดแผ่นแบน ๆ ที่มีเครื่องหมายระบุองศาไว้บนศีรษะรูปย่อส่วนนี้โดยมีแท่งเหล็กกล้าหมุนได้ ยาว 76 ซม. (30 นิ้ว) อยู่ตรงกลาง บนแท่งเหล็กมีเครื่องหมายระบุความยาวเป็นนิ้ว นอกจากนี้ยังผูกสายลูกดิ่งห้อยลงมาจากแท่งเหล็ก สายลูกดิ่งนี้ก็ระบุระยะเป็นนิ้วไว้เช่นกัน เมื่อหมุนแท่งเหล็กและรูสายดิ่งนั้นออกมาจากจุดต่าง ๆ บนแท่งเหล็ก แล้วลากไปจรดจุดใดจุดหนึ่งบนใบหน้า เช่น จมูก ก็สามารถวัดระยะห่างจากด้านบนของศีรษะถึงจมูกได้ การถ่ายทอดขนาดสัดส่วนจากรูปต้นแบบไปสู่รูปบนภูเขาอาศัยเครื่องมือคล้าย กันนี้ แต่ใหญ่กว่าถึง 12 เท่า วางลงบนยอดหน้าผา ณ ตำแหน่งที่จะแกะยอดกระหม่อมของประธานาธิบดีวอชิงตัน บอร์กลัมเรียกเครื่องมือนี้ว่า “เครื่องชี้ตำแหน่ง” (pointing machine) ส่วนผู้วัดระยะเพื่อกำหนดจุดที่จะแกะสลักส่วนต่าง ๆ ของใบหน้าลงบนภูเขาเรียกว่า ผู้ชี้ตำแหน่ง (pointer)
แกรนด์แคนยอน
แกรนด์แคนยอนถือเป็นความมหัศจรรย์
ทางธรรมชาติที่ยิ่งใหญ่แห่งหนึ่งของโลกถูกจัดให้เป็นหนึ่งในอนุรักษ์สถาน
ของโลกโดยตามสภาพภูมิศาสตร์และการลงมติของสหประชาชาติ
สำรวจพบสถานที่แห่งนี้ เมื่อปี ค.ศ.1776
ปีเดียวกับที่อเมริกาประกาศเอกราชจากอังกฤษ
แต่เพิ่งมารู้ว่ามีแม่น้ำโคโรลาโดไหลผ่านในปี ค.ศ1857 แม่น้ำโคโลราโด
ไหลจากทิศเหนือไปใต้สู่ทะเลสาบมี๊ด ระยะทางประมาณ 200 ไมล์ Grand Canyon
ถูกจัด ให้เป็นวนอุทยานแห่งชาติของสหรัฐ แกรนอ์แคนยอนเกิดขึ้นโดยอิทธิพลของแม่น้ำโคโลราโด
ไหลผ่านที่ราบสูงทำให้เกิดการสึกกร่อน พังทะลายของหินเป็นเวลา 225
ล้านปีมาแล้ว เดิมทีแม่น้ำโคโลราโดมีสภาพเป็นลำธารเล็กๆที่ไหลคดเคี้ยวไป
ตามที่ราบกว้างใหญ่ที่อยู่ ระดับเดียวกับน้ำทะเล
ต่อมาพื้นโลกเริ่มยกตัวสูงขึ้น อันเนื่องมาจากแรงดันและ
ความร้อนอันมหาศาลภายใต้พื้น โลกที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนรูป
และกลายเป็นแนวเทือกเขากว้างใหญ่ การยกตัว ของแผ่นดินทำให้ทางที่ลำธาร
ไหลผ่านลาดชันขึ้นและทำให้น้ำไหลแรงมากขึ้น พัดเอาทรายและตะกอนไปตาม
น้ำเกิดการกัดเซาะลึกลงไปทีละน้อยในเปลือกโลก วัดจากขอบลงไปก้นหุบเหวกว่า 1
ไมล์ ( ประมาณ 1,600 เมตร ) และอาจลึกว่าสองเท่า ของความหนาของเปลือกโลก
ก่อให้เกิดหินแกรนิต หินชั้นแบบต่าง ๆ พื้นดินที่เป็น หินทรายถูกน้ำ
และลมกัดเซาะ จนเป็นร่องลึกสลับซับซ้อนนานนับล้านปี
เป็นแคนยอนงดงามน่าพิศวงเนื่อง จากผลของดินฟ้าอากาศ
ความร้อนเย็นซึ่งมีอิทธิพลรอบด้าน ทางตะวันตกของแม่น้ำโคโลราโด
มีลักษณะคดเคี้ยวไปมาน่าสับสนและเป็นที่ตั้งส่วนหนึ่ง ของแกรนด์แคนยอนด้วย
โดยยาวถึง 150-200 ไมล์ บริเวณนี้เป็นจุดที่นักท่องเที่ยวให้ความสนใจ
มากที่สุดจุดหนึ่ง
ซึ่งก็คงเป็นเพราะทัศนียภาพที่แปลกตาของความลึกของหุบเขาและลักษณะของ
แม่น้ำที่มีรูปร่างทรงกรวยและไหลเป็นหลั่น ๆ
ชั้นลงไปโดยเกิดจากลาวาที่ทับถมจากภูเขาไฟเมื่อหลาย ล้านปีก่อนนั่นเอง บริเวณหน้าผาของแกรนด์ แคนยอน แม่น้ำโคโลราโดได้เดินทางมาบรรจบ
กับแม่น้ำ"เวอร์จิน" ซึ่งเป็นที่ตั้งของทะเลสาบ "มี๊ด" ด้วยจุดนี้
ไม่เพียงแต่เป็นจุดสิ้นสุดของแกรนด์ แคนยอนเท่านั้น
แต่ยังเป็นจุดสำคัญทางธรณีวิทยาแห่งหนึ่ง
อย่างดีทั้งนี้เพราะสภาพบรรยากาศที่แปลกแตกต่างจากที่อื่นอย่างมาก
เมื่อเปรียบเทียบ กับที่ราบสูงโคโลราโดทางตะวันออก 2
จุดนี้เป็นจุดที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ไม่ว่าจะเป็นในด้านของโครงสร้าง
ภูมิศาสตร์ หรือประวัติศาสตร์ ในทางใต้ของแม่น้ำสายนี้ จะเป็นทางลาดลงไปกว่า 3,000 ฟุต
โดยเกิดจากดินทรายที่พัดพ ามาจากที่สูงแถบนี้เป็นที่ตั้งของที่ราบสูง
"ตอนใต้" และห่างออกไป 70 ไมล์ก็เป็นที่ตั้งของช่องแคบ "อินเนอร์
กอร์จ"ที่เป็นรูปตัว "วี" แคบ ๆ และกว้าง 300
ฟุตนอกจากนี้สีสรรของสายน้ำก็ยังเปลี่ยนแปลงไปด้วย บางวันก็เป็นสีน้ำตาล
บางวันก็เป็นสีเขียว ซึ่งขึ้นอยู่กับจำนวนของตะกอนที่พัดพามาแต่ละวัน นอกจากนั้น
ในบริเวณซอกหลืบของหุบเขาน้อยใหญ่ยังมีการค้นพบร่องรอยอารยธรรม
ของชาวอินเดียน แดงโบราณ ซึ่งยังมีลูกหลานดำรงชีวิตแบบดั้งเดิม
และบางส่วนก็ยังคงอยู่ที่ แกรนด์แคนยอน จนถึงทุกวันนี้ เช่น
อินเดียนแดงเผ่า Hopis, Havasupais, Navajos, Hualapais, Paiutes, Pueblos
เป็นต้น ทุก ๆ ปีจะมีคนไปชมความมหัศจรรย์ของแกรนด์แคนยอนไม่ต่ำกว่าสองล้านคน
สถานที่ท่องเที่ยวในประเทศนิวซีแลนด์
ประเทศนิวซีแลนด์เป็นประเทศหนึ่งที่
มีการส่งเสริมด้านการท่องเที่ยว
แหล่งท่องเที่ยวมักเป็นการเที่ยวชมธรรมชาติที่หลากหลาย ได้แก่ ถ้ำ น้ำตก
ธารน้ำแข็ง น้ำพุร้อน ฟาร์ม
สถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจ
เมืองไคร้สท์เชิร์ช “เมืองอังกฤษนอกเกาะอังกฤษ” ผ่านชมสวนสาธารณะแฮกลีย์ ศาลาว่าการประจำเมือง ชมความงามของแม่น้ำเอว่อน

“ฟรานซ์โจเซฟ กลาเซียร์” ธารน้ำแข็งที่อยูในเวสต์ แลนด์ (WESTLAND NATIONAL PARK)ที่อยู่ในเขตป่าชื้นแห่งเดียวของโลก ชมความมหัศจรรย์ของธาร น้ำแข็งอัน งดงาม ที่เคลื่อนตัวลงมาอย่างต่อเนื่องตลอดทศวรรษ และยังเคลื่อนตัวอย่างไม่หยุดยั้ง ธารน้ำแข็ง สีขาวระยิบระยับสลับกับสีเขียวมรกตอันงดงามประดับ
ชมทะเลสาบเทคาโป ที่มีสีเขียวอมฟ้า ที่เรียกว่าทะเลสาบสี เทอควอยส์ ที่มีความสวยงาม ชมโบสถ์เล็กๆ น่ารัก ซึ่งในปัจจุบันยังใช้ในการประกอบพิธีการต่างๆ
ทะเลสาบปูคากิ ทะเลสาบที่สวยงามจนได้ชื่อว่า Million Dollar View ซึ่งมี ยอดเขาเม้าท์คุ้กที่มีเทือกเขาสูงถึง 3,753 เมตร เหนือยอดเขามีหิมะและธารน้ำแข็งปกคลุม ตลอดปี

เรือกลไฟโบราณ เรือจักรไอน้ำประวัติศาสตร์ TSS Earnslaw 1912 เดินทางประมาณ 2,000 เที่ยวต่อปี ใช่ถ่านหินเป็นเชื้อเพลิงประมาณ 1 ตันต่อชั่วโมง เพื่อล่องเรือชม ความงามของทะเลสาบวาคาทีปู มีความยาว 84 กม. เป็นทะเลสาบที่ยาวเป็นอันดับสองในนิวซีแลนด์ ชมทัศนียภาพสองฝั่งทะเล สาบที่สวยงาม

อโกรโดม (Agrodome) ชมการแสดงของแกะพันธุ์ต่างๆ ที่ให้ท่านได้ สัมผัสถึงความน่ารักและประทับใจกับการชมการสาธิตการตัดขนแกะการต้อนแกะโดยสุนัขแสนรู้
เรนโบว์ สปริง (rainbow Spring) สถานอนุรักษ์พันธุ์ปลาเทร้า ที่มีจำนวนนับหมื่นตัวจากทะเลสาบมาวางไข่ตามธรรมชาติ

ถ้ำไวโตโม (Waitomo Caves) ถ้ำหนอนเรืองแสง ที่เปล่งแสงระยิบระยับ จาก ตัวหนอนนับล้านๆ ตัว สวยงามดั่งดวงดาวบนท้องฟ้ายามค่ำคืนเดือนมืด นับเป็นปรากฏการณ์ ทางธรรมชาติที่หาดูได้ยากและชมความงดงามของถ้ำหินงอก หินย้อย ที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ
ชมเมืองอ็อคแลนด์ เมืองที่ใหญ่อันดับหนึ่ง เป็นเมืองที่สำคัญทางด้านการเรียน การศึกษา การเงินของนิวซีแลนด์ชมอ่าวที่สวยงามเต็มไปด้วยเรือนับร้อยลำ

Te Puia ซึ่งเป็นศูนย์วัฒนธรรม และศูนย์ฝึกหัดงานด้านการฝีมือของชาวเมารี อาทิ เช่น หอประชุมของ ชาวเมารี การแกะสลักไม้ และการทอเครื่องนุ่งห่ม พร้อมชมบ่อน้ำพุ ร้อน บ่อโคลนเดือด สิ่งมหัศจรรย์ที่เกิดขึ้นจากพลังความร้อนใต้พิภพที่พวยพุ่งจากพื้นดิน และแร่ธาตุต่างๆ ตามธรรมชาติที่เกิดจากพลังความร้อนใต้พื้นดินใน บริเวณนี้

ล่องเรือทะเลสาบโรโตรัว Lakeland Queen ในบรรยากาศตอนเช้าที่สดชื่น ล่องชมทัศนียภาพที่สวยงามของทะเลสาบโรโตรัว
ชมน้ำตกฮูกา (Huga Falls) ซึ่งเป็นน้ำตกที่ใหญ่ที่สุดของเกาะเหนือ ชมสายน้ำที่ไหลผ่านโตรกหินมายังเบื้องล่าง
การเดินทาง
วีซ่าเพื่อการท่องเที่ยวและทำงาน ในประเทศนิวซีแลนด์ (Working-Holiday Visa)
ตั้งแต่ วันที่ 4 กรกฎาคม 2549 รัฐบาลนิวซีแลนด์อนุญาตให้ผู้ถือสัญชาติไทย อายุระหว่าง 18 - 30 ปี ที่สนใจไปท่องเที่ยวและทำงานในประเทศนิวซีแลนด์สามารถขอวีซ่า ประเภทได้
รัฐบาลนิวซีแลนด์กำหนดโควต้าให้ผู้ถือสัญชาติไทยจำนวน 100 คนแรก โดยพิจารณาอนุมัติวีซ่าตามลำดับการยื่นขอวีซ่า
ผู้ ได้รับวีซ่าสามารถทำงานและท่องเที่ยวในประเทศนิวซีแลนด์ได้เป็นเวลาทั้งสิ้น 12 เดือน โดยการทำงานในแต่ละครั้งต้องมีอายุการจ้างงานไม่เกิน 3 เดือน
ผู้ สมัครต้องจบการศึกษาระดับปริญญาตรี และมีความสามารถในการสื่อสารภาษาอังกฤษได้ดี (ไม่จำเป็นต้องยื่นผลการสอบภาษาอังกฤษ) พร้อมทั้งมีหลักทรัพย์ค้ำประกัน ประมาณ 7,000 เหรียญนิวซีแลนด์ เพื่อประกอบใบสมัคร

สถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจ
เมืองไคร้สท์เชิร์ช “เมืองอังกฤษนอกเกาะอังกฤษ” ผ่านชมสวนสาธารณะแฮกลีย์ ศาลาว่าการประจำเมือง ชมความงามของแม่น้ำเอว่อน


“ฟรานซ์โจเซฟ กลาเซียร์” ธารน้ำแข็งที่อยูในเวสต์ แลนด์ (WESTLAND NATIONAL PARK)ที่อยู่ในเขตป่าชื้นแห่งเดียวของโลก ชมความมหัศจรรย์ของธาร น้ำแข็งอัน งดงาม ที่เคลื่อนตัวลงมาอย่างต่อเนื่องตลอดทศวรรษ และยังเคลื่อนตัวอย่างไม่หยุดยั้ง ธารน้ำแข็ง สีขาวระยิบระยับสลับกับสีเขียวมรกตอันงดงามประดับ

ชมทะเลสาบเทคาโป ที่มีสีเขียวอมฟ้า ที่เรียกว่าทะเลสาบสี เทอควอยส์ ที่มีความสวยงาม ชมโบสถ์เล็กๆ น่ารัก ซึ่งในปัจจุบันยังใช้ในการประกอบพิธีการต่างๆ

ทะเลสาบปูคากิ ทะเลสาบที่สวยงามจนได้ชื่อว่า Million Dollar View ซึ่งมี ยอดเขาเม้าท์คุ้กที่มีเทือกเขาสูงถึง 3,753 เมตร เหนือยอดเขามีหิมะและธารน้ำแข็งปกคลุม ตลอดปี


เรือกลไฟโบราณ เรือจักรไอน้ำประวัติศาสตร์ TSS Earnslaw 1912 เดินทางประมาณ 2,000 เที่ยวต่อปี ใช่ถ่านหินเป็นเชื้อเพลิงประมาณ 1 ตันต่อชั่วโมง เพื่อล่องเรือชม ความงามของทะเลสาบวาคาทีปู มีความยาว 84 กม. เป็นทะเลสาบที่ยาวเป็นอันดับสองในนิวซีแลนด์ ชมทัศนียภาพสองฝั่งทะเล สาบที่สวยงาม


อโกรโดม (Agrodome) ชมการแสดงของแกะพันธุ์ต่างๆ ที่ให้ท่านได้ สัมผัสถึงความน่ารักและประทับใจกับการชมการสาธิตการตัดขนแกะการต้อนแกะโดยสุนัขแสนรู้

เรนโบว์ สปริง (rainbow Spring) สถานอนุรักษ์พันธุ์ปลาเทร้า ที่มีจำนวนนับหมื่นตัวจากทะเลสาบมาวางไข่ตามธรรมชาติ


ถ้ำไวโตโม (Waitomo Caves) ถ้ำหนอนเรืองแสง ที่เปล่งแสงระยิบระยับ จาก ตัวหนอนนับล้านๆ ตัว สวยงามดั่งดวงดาวบนท้องฟ้ายามค่ำคืนเดือนมืด นับเป็นปรากฏการณ์ ทางธรรมชาติที่หาดูได้ยากและชมความงดงามของถ้ำหินงอก หินย้อย ที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ

ชมเมืองอ็อคแลนด์ เมืองที่ใหญ่อันดับหนึ่ง เป็นเมืองที่สำคัญทางด้านการเรียน การศึกษา การเงินของนิวซีแลนด์ชมอ่าวที่สวยงามเต็มไปด้วยเรือนับร้อยลำ


Te Puia ซึ่งเป็นศูนย์วัฒนธรรม และศูนย์ฝึกหัดงานด้านการฝีมือของชาวเมารี อาทิ เช่น หอประชุมของ ชาวเมารี การแกะสลักไม้ และการทอเครื่องนุ่งห่ม พร้อมชมบ่อน้ำพุ ร้อน บ่อโคลนเดือด สิ่งมหัศจรรย์ที่เกิดขึ้นจากพลังความร้อนใต้พิภพที่พวยพุ่งจากพื้นดิน และแร่ธาตุต่างๆ ตามธรรมชาติที่เกิดจากพลังความร้อนใต้พื้นดินใน บริเวณนี้


ล่องเรือทะเลสาบโรโตรัว Lakeland Queen ในบรรยากาศตอนเช้าที่สดชื่น ล่องชมทัศนียภาพที่สวยงามของทะเลสาบโรโตรัว

ชมน้ำตกฮูกา (Huga Falls) ซึ่งเป็นน้ำตกที่ใหญ่ที่สุดของเกาะเหนือ ชมสายน้ำที่ไหลผ่านโตรกหินมายังเบื้องล่าง
การเดินทาง
วีซ่าเพื่อการท่องเที่ยวและทำงาน ในประเทศนิวซีแลนด์ (Working-Holiday Visa)
ตั้งแต่ วันที่ 4 กรกฎาคม 2549 รัฐบาลนิวซีแลนด์อนุญาตให้ผู้ถือสัญชาติไทย อายุระหว่าง 18 - 30 ปี ที่สนใจไปท่องเที่ยวและทำงานในประเทศนิวซีแลนด์สามารถขอวีซ่า ประเภทได้
รัฐบาลนิวซีแลนด์กำหนดโควต้าให้ผู้ถือสัญชาติไทยจำนวน 100 คนแรก โดยพิจารณาอนุมัติวีซ่าตามลำดับการยื่นขอวีซ่า
ผู้ ได้รับวีซ่าสามารถทำงานและท่องเที่ยวในประเทศนิวซีแลนด์ได้เป็นเวลาทั้งสิ้น 12 เดือน โดยการทำงานในแต่ละครั้งต้องมีอายุการจ้างงานไม่เกิน 3 เดือน
ผู้ สมัครต้องจบการศึกษาระดับปริญญาตรี และมีความสามารถในการสื่อสารภาษาอังกฤษได้ดี (ไม่จำเป็นต้องยื่นผลการสอบภาษาอังกฤษ) พร้อมทั้งมีหลักทรัพย์ค้ำประกัน ประมาณ 7,000 เหรียญนิวซีแลนด์ เพื่อประกอบใบสมัคร